ในอดีต สหรัฐฯและตะวันตกแอบสนับสนุนสื่อ ทั้งวิทยุ โทรทัศน์ นิตยสาร และหนังสือพิมพ์ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ติดลบให้กับฝ่ายตรงข้าม มีการสำรวจเมื่อ ค.ศ.1999 สหรัฐฯเพียงประเทศเดียวมีหนังสือพิมพ์รายวันมากถึง 1,716 ฉบับ หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ 10,100 ฉบับ นิตยสารมากกว่า 9,000 ฉบับ สถานีวิทยุ 6,000 สถานี เครื่องรับวิทยุ 300 ล้านเครื่อง สถานีโทรทัศน์ 3,000 สถานี เครื่องรับโทรทัศน์ 90 ล้านเครื่อง สื่อสหรัฐฯทั้งหมดในสมัยนั้นถูกถ่ายทอดไปทั่วโลก ทำให้สหรัฐฯมีอิทธิพลเหนือประเทศอื่นโดยการใช้สื่อเป็นตัวนำ
ยุคปัจจุบันสหรัฐฯและโลกตะวันตกก็ยังพยายามโยนข้อหาที่ไม่เป็นธรรมใส่ประเทศที่สหรัฐฯคิดว่าเป็นจะเป็นคู่แข่งของตนเอง ในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จีนกับรัสเซีย ขณะที่รัสเซียมีปัญหากับอูเครน สหรัฐฯและตะวันตกมีนโยบายที่ตรงกันข้ามกัน 2 อย่าง อย่างแรกคือพวกตัวเองประกาศโจ่งแจ้งว่าหนุนอูเครน ทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์และเงิน อย่างที่สอง สหรัฐฯและพวกกลับตะโกนเตือนประเทศอื่นว่าอย่าช่วยรัสเซีย การช่วยรัสเซียเป็นสิ่งผิด
ถ้าเป็นเมื่อก่อน หลายประเทศอาจจะกลัวคำขู่ แต่สมัยนี้ มีโซเชียลมีเดียที่สามารถสู้กับสื่อกระแสหลักของสหรัฐฯและตะวันตกได้ หลายประเทศจึงเป็นหมูไม่กลัวน้ำร้อน ใช้นโยบายตาต่อตา ฟันต่อฟัน เองด่ามาข้าก็ด่ากลับ เอ็งโยนข้อหามาข้าก็แก้ข้อกล่าวหาได้โดยง่าย
สิ่งที่สหรัฐฯกลัวที่สุดคือกลัวการผนึกกำลังกันระหว่างรัสเซียกับจีน ในที่สุด สิ่งที่สหรัฐฯกลัวที่สุดก็เกิดขึ้นแล้วในวันพฤหัสบดีที่ 30 มีนาคม 2023 เมื่อพันเอกพิเศษ ถาน เค่อเฟย โฆษกกระทรวงกลาโหมของจีนแถลงว่า นับต่อแต่นี้เป็นต้นไป จีนพร้อมยกระดับความร่วมมือกับกองทัพรัสเซียเพื่อร่วมกันส่งเสริมความยุติธรรม สันติภาพ และความมั่นคงระหว่างประเทศ
...
ไม่กี่วันที่ผ่านมา ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน เดินทางไปเยือนกรุงมอสโก สหพันธรัฐรัสเซีย ผู้นำของจีนและรัสเซียปรึกษาหารือกันอยู่หลายรอบ แล้วก็ตกลงปลงใจว่าจะทำงานร่วมกัน โฆษกกระทรวงกลาโหมของจีนพูดว่า “จีนตั้งใจทำงานร่วมกับกองทัพรัสเซียในการปฏิบัติตามการเห็นพ้องต้องกันของผู้นำของเราทั้งสอง” “รวมถึงการกระชับการสื่อสารและความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น”
เพราะความเกกมะเหรกเกเรของสหรัฐฯและคณะทำให้จีนและรัสเซียต้องมีความสัมพันธ์กันอย่างเข้มแข็งมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นความสัมพันธ์ที่อยู่เหนือรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ อย่างไรก็ตาม ฝ่ายจีนก็ออกมาบอกว่า ความสัมพันธ์ของจีนและรัสเซียมีลักษณะสื่อไปในทางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ไม่ได้เล็งเป้าหมายไปยังประเทศอื่นๆ
โฆษกกระทรวงกลาโหมของจีนบอกว่า สหรัฐฯใช้งบประมาณกลาโหมมหาศาล หรืออาจจะพูดได้อย่างเต็มปากว่า สหรัฐฯใช้งบประมาณกลาโหมสูงที่สุดในโลก งบประมาณเหล่านี้สหรัฐฯใช้เพื่อก่อสงคราม และสร้างให้เกิดความยุ่งอีนุงตุงนังในทุกหนทุกแห่ง และอย่างไม่เกรงใจ โฆษกกลาโหมของจีนพูดชัดเจนออกสื่อดังลั่นไปทั้งโลกว่า “สหรัฐฯเป็นภัยคุกคามของโลกที่ใหญ่ที่สุด เป็นภัยต่อสันติภาพ ต่อความมั่นคง และเสถียรภาพโลก”
สหรัฐฯไม่เคยนึกมาก่อนว่าโฆษกของหน่วยงานของรัฐบาลจีนจะกล้าพูดเกี่ยวกับตนอย่างแรงถึงขนาดนี้ ผู้บริหารสำคัญของสหรัฐฯตกตะลึงพรึงเพริดกับความกล้าออกตัวของโฆษกกระทรวงกลาโหมจีน พอได้สติ คณะผู้นำสหรัฐฯก็พูดเสียงอ่อยๆว่า “ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียและจีนเป็นสิ่งที่น่าหนักใจเป็นอย่างมาก” “นี่คือความท้าทาย”
หลังจากพูดสองสามประโยคนี้แล้ว เจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯก็บอกว่า “มันเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเพิ่มงบประมาณกลาโหมประจำ ค.ศ.2024 เพิ่มเติมเป็น 8.42 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ” “เพื่อใช้สู้กับจีนและรัสเซีย”
ประโยคหลังสุดนี้ เจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯไม่ได้พูดดอกครับ ผมเขียนเพิ่มเติมเอง ทุกครั้งที่จีนกับรัสเซียกระดิกพลิกตัว พวกกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯก็จะเอาไปโชว์คนเสียภาษีชาวอเมริกันพร้อมทั้งขู่ว่า “ท่านเห็นแล้วใช่ไหมว่ารัสเซียกับจีนมันกำลังจะเล่นงานพวกเรา” “พวกเราคนอเมริกันต้องเสียภาษีเพิ่ม” “ต้องใช้เงินเพิ่มเพื่อสู้กับศัตรูของเรา”.
นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัย
songlok1997@gmail.com