ประธานบริษัทผู้บริหารโรงแรมสุดหรูและเก่าแก่แห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น ออกมาขอโทษ และยอมรับผิดที่ปล่อยปละละเลยจนทำให้น้ำในบ่อออนเซ็นมีแบคทีเรียเกินมาตรฐานถึง 3,700 เท่า

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นาย มาโคโตะ ยามาดะ ประธานบริษัท ผู้ดำเนินกิจการโรงแรม ‘ไดมารุ เบสโซ’ (Daimaru Besso) ซึ่งมีอายุเก่าแก่เกือบ 160 ปี ออกมากล่าวขอโทษในวันอังคารที่ 28 ก.พ. 2566 หลังถูกตรวจพบว่า น้ำในอ่างน้ำพุร้อน หรือ ออนเซ็น ของพวกเขานั้น มีแบคทีเรียเกินกว่าที่มาตรฐานกำหนดถึง 3,700 เท่า

นายยามาดะกล่าวในงานแถลงข่าวว่า โรงแรมของเขาเปลี่ยนน้ำในอ่างน้ำพุร้อนทุกๆ 6 เดือน ทั้งที่ตามกฎหมายต้องเปลี่ยนทุกสัปดาห์ และไม่ใช้คลอรีนอย่างเพียงพอ เนื่องจากเขา “ไม่ชอบกลิ่นสารเคมี” ซึ่งเขายอมรับว่าเป็นเหตุผลที่เห็นแก่ตัว และเป็นการกระทำผิดอย่างสิ้นเชิงโดยไม่คำนึงถึงสุขภาพของลูกค้า

นายยามาดะเผยอีกว่า การละเลยในมาตรการรักษาความสะอาดของโรงแรมในจังหวัดฟุกุโอกะแห่งนี้ เริ่มขึ้นราวเดือนธันวาคม 2562 และหย่อนยานมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากจำนวนแขกที่เข้าพักลดลงเพราะการระบาดของไวรัสโควิด-19

เมื่อปีก่อน เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบของญี่ปุ่นตรวจพบว่า น้ำในอ่างน้ำพุร้อนของโรงแรมไดมารุ เบสโซ มีแบคทีเรีย ‘ลีเจียนแนร์’ (legionella) เกินกว่าที่มาตรฐานกำหนดกว่า 2 เท่า แต่นายยามาดะยอมรับว่า ทางโรงแรมปลอมแปลงเอกสารอ้างว่า พวกเขาใช้สารคลอรีนอย่างเหมาะสมในการฆ่าเชื้อ

อย่างไรก็ตาม การสืบสวนในเวลาต่อมาของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขพบว่า แท้จริงแล้วน้ำในอ่างของโรงแรมมีแบคทีเรียลีเจียนแนร์เกินมาตรฐานถึง 3,700 เท่า ท่ามกลางรายงานข่าวว่า แบคทีเรียชนิดนี้ซึ่งสามารถทำให้ปอดติดเชื้อได้ เป็นสาเหตุให้แขกในโรงแรมหลายแห่ง รวมถึง ไดมารุ เบสโซ ล้มป่วย

...

“ความเข้าใจในกฎหมายของผมไม่เพียงพอ ผมชะล่าใจคิดว่าแบคทีเรียลีเจียนแนร์เป็นเชื้อโรคธรรมดาที่พบได้ทุกที่” นายยามาดะกล่าว “ผมรู้สึกเสียใจต่อบรรพบุรุษของเราจริงๆ”

ที่มา : cna