- พายุฤดูหนาวจากแถบอาร์กติกที่ปกคลุมแคนาดาและสหรัฐฯ ทำให้อุณหภูมิลดต่ำลงแบบเฉียบพลัน ส่งผลต่อการใช้ชีวิต รวมทั้งยังทำให้อัตราการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างน่าเป็นห่วง
- ผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสารแลนเซ็ท วิเคราะห์ว่า 7 เปอร์เซ็นต์ของการเสียชีวิตของคนทั่วโลกกว่า 74 ล้านคน มีสาเหตุมาจากสภาพอากาศหนาวเย็นจัด
- ผู้เชี่ยวชาญต่างแสดงความกังวลหลังมีการคาดการณ์ว่าหลายประเทศจะเผชิญสภาพอากาศหนาวเย็นจัดแบบสุดขั้วช่วงปลายปีนี้ ซึ่งจะส่งผลให้โรคต่างๆ กลับมาระบาดหนัก และยังส่งผลเสียต่อสุขภาพของมนุษย์โดยตรงอีกด้วย
เป็นที่ทราบดีว่า ในช่วงฤดูหนาวของทุกปี เรามักจะพบการระบาดรุนแรงของโรคไข้หวัดใหญ่ โรคโควิด-19 รวมทั้งโรคระบบทางเดินหายใจสูงมากขึ้น แต่ในปีนี้ที่สภาพอากาศหนาวเย็นจัดแบบสุดขั้วและรุนแรงกว่าค่าเฉลี่ยที่ผ่านๆ มาโดยเฉพาะในสหรัฐฯ แคนาดาและยุโรป ยิ่งสร้างความกังวลให้แก่ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุข ว่าฤดูหนาวนี้อาจจะเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพและความปลอดภัยของมนุษย์กว่าที่เคยมีมา
แอนโตนิโอ แกสพาร์รินี นักวิจัยชาวอังกฤษ ผู้นำการวิจัยในการศึกษาเมื่อปี 2015 ซึ่งที่ถูกตีพิมพ์ในวารสารแลนเซ็ทวิเคราะห์ว่า จากการเสียชีวิตของคนทั่วโลกกว่า 74 ล้านคน มีถึง 7 เปอร์เซ็นต์ ที่มีสาเหตุมาจากสภาพอากาศหนาวเย็นจัด ซึ่งเป็นหลักฐานที่สรุปได้ว่า สภาพอากาศหนาวเย็นจัด จะเพิ่มความเสี่ยงในการเสียชีวิตมากขึ้น
...
ขณะที่ทีน่า อิกาเฮอิโม ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัย ทรอมโซ แห่งนอร์เวย์ ระบุว่าปัญหาที่ควบคู่กันมาในเวลานี้ก็คือราคาของก๊าซธรรมชาติที่พุ่งสูงขึ้นจากภาวะสงครามยูเครน ส่งผลให้หลายๆครอบครัว ไม่มีกำลังซื้อมากพอที่จะหาก๊าซธรรมชาติมาสร้างความอบอุ่นในครัวเรือนได้ โดยเฉพาะในยุโรปที่ต้องพึ่งพาก๊าซธรรมชาติเป็นหลัก พร้อมแสดงความกังวลใจแทนคนยากจนและผู้สูงอายุที่ไม่มีกำลังพอจะซื้อก๊าซธรรมชาติได้
สภาพอากาศหนาวเย็นจัดเป็นอันตรายต่อร่างกายอย่างไร?
จากข้อมูลของศูนย์การแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยโรเชสเตอร์ระบุว่า อากาศเย็นจัดจะสร้างความเสียหายเบื้องต้นกับผิวหนังภายนอก จากอาการที่เรียกว่าหิมะกัด เมื่อต้องอยู่ในอากาศหนาวเย็นจัดเป็นเวลานานๆ โดยตำแหน่งที่จะเกิดหิมะกัดได้ง่าย คือ บริเวณนิ้วมือ นิ้วเท้า หู จมูก และแก้ม โดยหากอยู่ในระดับผิวหนัง สีผิวจะแดงขึ้น รู้สึกเจ็บแปลบๆ ที่ผิวหนัง จากนั้นผิวหนังจะมีสีซีดลง เริ่มชา ไม่มีความรู้สึก แต่ถ้าเป็นระดับลึกใต้ผิวหนัง ผิวหนังจะกลายเป็นสีม่วงๆ เทาๆ อาจรู้สึกแข็งๆ เมื่อสัมผัสที่ผิวหนัง ช่วงแรกจะชาไม่รู้สึก หลังจากนั้นจะรู้สึกปวดตุบๆ อาจเกิดตุ่มพองที่เป็นเลือดคั่งด้านใน สร้างความเสียหายให้แก่เนื้อเยื่อ อย่างไรก็ตามก่อนที่อาการจะถึงขั้นรุนแรง เรามักจะเห็นสัญญาณเตือนเบื้องต้นก่อน คือผิวมีสีแดง รู้สึกซ่าที่ผิวหนัง หรือเริ่มชา ให้รีบเข้าไปอยู่ในตัวอาคารและทำให้ร่างกายอุ่นขึ้นทันที
นอกจากนี้ยังมีอาการที่เรียกว่าผิวหนังอักเสบจากลมแรง เนื่องจากต้องอยู่ในสภาพอากาศเย็นจัดนานๆ และมีความชื้นในอากาศต่ำ ซึ่งวิธีการป้องกันง่ายๆ ก็คือการปกปิดร่างกายโดยเฉพาะส่วนของใบหน้า อย่างการสวมแว่นตาหรือสวมหมวกไหมพรมปิดบริเวณใบหน้าเพื่อป้องกันการถูกลมเย็นจัดปะทะ
นอกจากอาการบาดเจ็บภายนอกแล้ว สิ่งที่อันตรายมากที่สุดจากสภาพอากาศหนาวเย็นจัดที่อาจเป็นสาเหตุการเสียชีวิตได้ก็คือ การเพิ่มความเสี่ยงเกี่ยวกับโรคหัวใจ อย่างหัวใจวาย และโรคหลอดเลือดสมอง โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่มีโรคหัวใจเป็นโรคประจำตัวอยู่แล้ว โดยกลไกในการปกป้องตัวเองตามธรรมชาติจะเกิดขึ้นเมื่ออุณหภูมิลดลง เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงการสูญเสียความร้อนในร่างกาย จากการที่เส้นเลือดตามผิวหนังหดตัว ร่างกายจะเพิ่มการสูบฉีดเลือด ซึ่งสิ่งนี้จะเกิดขึ้นทันทีที่ร่างกายรู้สึกหนาวเย็น ซึ่งผลกระทบที่จะตามมา ก็คือความดันเลือดจะอยู่ในระดับสูงกว่าปกติในช่วงฤดูหนาว ทำให้ปัสสาวะบ่อย นำไปสู่ภาวะการขาดน้ำได้หากไม่ดื่มน้ำบ่อยๆ นอกจากนี้อาจส่งผลให้เลือดข้น ทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะเกิดลิ่มเลือด และส่งผลให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานหนักขึ้น
...
ขณะเดียวกันสภาพอากาศหนาวจัดยังส่งผลร้ายต่อระบบทางเดินหายใจและทำให้โรคระบบทางเดินหายใจมีอาการรุนแรงขึ้น เช่น โรคหอบหืด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ขณะที่การหายใจเอาอากาศที่มีความเย็นเข้าไปจะทำให้ทางเดินหายใจระคายเคืองและก่อให้เกิดอาการหายใจลำบาก การไอ และเกิดน้ำมูกและเสมหะ
สภาพอากาศหนาวยังเอื้อต่อการระบาดของโรคระบบทางเดินหายใจ อย่างไข้หวัดใหญ่ โควิด-19 ด้วย เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่จะนิยมรวมตัวกันอยู่ภายในอาคารบ้านเรือนเพื่อหนีจากอากาศหนาว ซึ่งทำให้เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสได้ง่ายขึ้น โดยมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ชี้ว่า อากาศหนาวเย็นและแห้งจะทำให้เชื้อไวรัสอยู่ได้นานขึ้น และระบาดได้เร็วขึ้นอีก
ใครเป็นกลุ่มเปราะบางที่สุด
กลุ่มคนที่มีความเสี่ยงมากที่สุดต่อสภาพอากาศเช่นนี้ก็คือคนที่มีโรคเรื้อรังต่างๆ ทั้งโรคที่เกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด โรคระบบทางเดินหายใจ รวมทั้งโรคเบาหวาน ขณะที่ผู้สูงอายุที่มีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ จะยิ่งเป็นการเพิ่มความเสี่ยงที่จะป่วยด้วยโรคที่เกิดจากสภาพอากาศหนาวเย็น
ขณะที่กลุ่มผู้ที่มีรายได้ต่ำก็เป็นกลุ่มเสี่ยงสูงสุดด้วย โดยในสหรัฐฯ ครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำ จะต้องใช้เงินไปกับการซื้อหาพลังงานคิดเป็น 3 เท่าของรายได้ ยิ่งในภาวะที่ราคาพลังงานพุ่งสูง การจะซื้อหาพลังงานเพื่อสร้างความอบอุ่นยิ่งทำได้ยากยิ่งขึ้น จนนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ต้องประกาศให้เงินช่วยเหลือในการจ่ายค่าพลังงานในช่วงฤดูหนาวนี้ให้แก่ชาวอเมริกันผู้มีรายได้ต่ำ จำนวนถึง 4.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว
...
วิธีการป้องกันตัวเองจากอากาศหนาว
ผลการศึกษาที่น่าสนใจของแกสพาร์รินียังพบด้วยว่า ในบางประเทศอาจจะมีอัตราการเสียชีวิตจากอากาศหนาวจัดสูงกว่าที่อื่น แม้ว่าอากาศที่ประเทศนั้นจะไม่ได้หนาวเท่ากับที่อื่นก็ตาม ยกตัวอย่างเช่นสวีเดน ที่มีสภาพอากาศหนาวจัดกว่าอังกฤษ แต่อัตราการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับสภาพอากาศหนาวจัดกลับต่ำกว่าในอังกฤษ ซึ่งเหตุผลเป็นเพราะบ้านในอังกฤษจำนวนมากเป็นบ้านแบบเก่าที่ไม่เหมาะกับสภาพอากาศหนาวเย็นจัด ในขณะที่สวีเดนมีมาตรฐานในการสร้างอาคารที่มีความอบอุ่นมากกว่า และยังมีค่าใช้จ่ายแบบคงที่สำหรับค่าเครื่องทำความร้อน ต่างกับในอังกฤษ และสมาชิกอียูชาติอื่นๆ ที่จ่ายค่าใช้จ่ายตามจริง ซึ่งหากต้องอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่มีความอบอุ่นเพียงพอ ประชาชนก็จำเป็นต้องรู้วิธีในการปกป้องตัวเอง
สิ่งแรกที่ทุกคนสามารถทำได้ง่ายที่สุดในการปกป้องตัวเองก็คือการสวมเสื้อผ้าให้อบอุ่นมากพอ สวมเสื้อผ้าหลายๆ ชั้น เวลาที่ออกไปในที่กลางแจ้ง โดยเสื้อด้านในควรให้ความอบอุ่นและซับเหงื่อ ขณะที่เสื้อผ้าชั้นนอกควรจะกันน้ำและป้องกันลม กันหิมะ และฝนได้ แต่หากต้องอยู่ในสภาพอากาศเย็นจัดในอาคาร ควรจะเพิ่มเครื่องนุ่งห่มให้แก่แขนขา เช่น การสวมถุงเท้า หรือผ้าพันคอ รวมทั้งต้องมั่นใจว่าเตียงนอนจะอุ่นเพียงพอที่จะให้ความอบอุ่นให้คุณได้ตลอดทั้งคืน เพื่อให้อยู่รอดผ่านฤดูกาลหนาวเหน็บแบบนี้ไปให้ได้.
...
ผู้เขียน : อาจุมมาโอปอล
ที่มา : ไทมส์ , บีบีซี , อินไซด์เดอร์