ผู้นำเนเธอร์แลนด์กล่าว "ขอโทษ" ต่อบรรดาผู้ได้รับผลกระทบจากธุรกิจการค้าทาสในอดีตยุคอาณานิคมดัตช์ ยินดีตั้งกองทุนเผยแพร่ให้ความรู้เรื่องประวัติศาสตร์การค้าทาส แต่จะไม่จ่ายเงินชดเชยความเสียหาย

เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 2565 นายมาร์ก รูทท์ นายกรัฐมนตรีเนเธอร์แลนด์ กล่าวสุนทรพจน์และขอโทษอย่างเป็นทางการในนามของรัฐบาล ต่อบทบาทการใช้แรงงานทาสและการค้าทาสของเนเธอร์แลนด์ในอดีตยุคอาณานิคมดัตช์ โดยผู้นำเนเธอร์แลนด์ได้กล่าวคำขอโทษเป็น 4 ภาษา ได้แก่ ภาษาดัตช์ ภาษาอังกฤษ ภาษาปาเปียเมนโต และภาษาซูรินาม ระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ที่ใช้เวลาประมาณ 20 นาที ที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติในกรุงเฮก ท่ามกลางความยินดีของกลุ่มนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนและนักประวัติศาสตร์ที่ได้รับเชิญเข้าร่วมงาน

อย่างไรก็ตามมีเสียงเรียกร้องว่าเนเธอร์แลนด์ออกมาขอโทษช้าเกินไป และแทนที่ผู้นำเนเธอร์แลนด์จะกล่าวขอโทษเพียงอย่างเดียว ควรจะมีการผลักดันแผนฟื้นฟูและจ่ายเงินชดเชยต่อผลกระทบและความเสียหายจากการค้าทาส โดยมีกลุ่มนักเคลื่อนไหวชาวซูรินามออกมาประท้วงที่อนุสาวรีย์วาโคเอในกรุงพารามาริโบ เรียกร้องให้รัฐบาลเนเธอร์แลนด์จ่ายเงินชดเชยเหยื่อค้าทาสและผู้ที่ได้รับผลกระทบทุกคน รายละ 400,000 ยูโร

นายกรัฐมนตรีรูทท์ กล่าวว่า การค้าทาสในอดีตเป็นสิ่งที่น่าเกลียด น่าอับอายและเจ็บปวด อย่างไรก็ตามรัฐบาลเนเธอร์แลนด์จะไม่จ่ายเงิยค่าเสียหายชดเชยใดๆ แก่บุคคลที่เคยตกเป็นทาส บรรดาลูกหลาน หรือเหลนของพวกเขา แต่จะตั้งกองทุนมูลค่า 200 ล้านยูโร หรือประมาณ 7,381 ล้านบาท เพื่อริเริ่มส่งเสริมการให้ความรู้แก่คนรุ่นหลังเกี่ยวกับประเด็นประวัติศาสตร์การค้าทาสของเนเธอร์แลนด์ในอดีต และบรรดาประเทศอดีตอาณานิคม

ทั้งนี้ในช่วงศตวรรษที่ 17 เนเธอร์แลนด์ เป็นหนึ่งในประเทศที่ร่ำรวยจากธุรกิจการเดินเรือค้าขายสินค้า และขนส่งทาสจากดินแดนแอฟริกาไปตามประเทศต่างๆ คาดว่ามีผู้ชาย ผู้หญิง และเด็กชาวแอฟริกัน มากกว่า 600,000 คน ถูกขนส่งขึ้นเรือสินค้าไปใช้แรงงานในประเทศต่างๆ ก่อนที่รัฐบาลเนเธอร์แลนด์จะมีการออกกฎหมายยกเลิกระบบการค้าทาสเมื่อปี ค.ศ.1863 และยกเลิกการใช้แรงงานทาส เปลี่ยนผ่านจากทาสเป็นไท ในประเทศอาณานิคมซูรินาม ในอีก 10 ปีต่อมา.

...