• อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก ปิดดีลเทกโอเวอร์บริษัท ทวิตเตอร์ ผู้ให้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ยอดนิยมแล้ว หลังจากยืดเยื้อมานานตั้งแต่ต้นปี

  • การเข้ามาเป็นเจ้าของทวิตเตอร์ของนายมัสก์ ทำให้หลายฝ่ายแสดงความกังวลว่า เขาจะทำให้ทวิตเตอร์เต็มไปด้วยข้อความสร้างความเกลียดชังหรือไม่ หลังเคยพูดว่าจะปลดแบนบัญชีผู้ใช้ที่ถูกลงโทษทั้งหมด

  • นอกจากนั้น นายมัสก์ยังเริ่มการเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่างบริษัทแล้ว ตั้งแต่ปลดผู้บริหาร จนล่าสุดเริ่มเลย์ออฟพนักงานแล้ว โดยคาดว่าจะมีคนโดนปลดกว่า 50%

เชื่อว่านาทีนี้คงมีน้อยคนที่ไม่รู้จัก อีลอน มัสก์ นักวิสาหกิจผู้มีชื่อเสียงระดับโลกในฐานะ ซีอีโอของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่อย่าง Tesla Inc. และซีอีโอของบริษัทธุรกิจอวกาศเอกชน SpaceX มัสก์ยังเป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริการจ่ายเงินออนไลน์ PayPal และเป็นผู้ร่วมลงทุนรายแรกของบริษัทเทคโนโลยีหลายเจ้า และได้เพิ่งบรรลุข้อตกลงเทกโอเวอร์บริษัท ทวิตเตอร์ มาเป็นของตัวเองเมื่อปลายเดือนตุลาคม

ความสำเร็จและสไตล์การใช้ชีวิตของมัสก์ ทำให้เขาถูกนำไปเปรียบเทียบกับนักธุรกิจใหญ่หลายๆ คนในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ รวมถึง สตีฟ จ็อบส์, ฮาววาร์ด ฮิวจ์ส และ เฮนรี ฟอร์ด ในปี 2564 นายมัสก์กลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก มีทรัพย์สินสุทธิโดยประมาณอยู่ที่ 2.12 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (นับจนถึงเดือนตุลาคม 2565) แซงหน้านายเจฟฟ์ เบซอส ผู้ก่อตั้งบริษัท อเมซอน

แต่มีใครรู้บ้างว่า ก่อนจะมาถึงจุดนี้นายมัสก์เป็นใครมาจากไหน และมาถึงตรงนี้ใดอย่างไร? ขณะเดียวกันทั่วโลกก็กำลังจับตาดูมหาเศรษฐีรายนี้ว่า เขามีแผนอย่างไรต่อไปสำหรับทวิตเตอร์ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่มีอิทธิพลมากที่สุดของโลก

...

อีลอน มัสก์ เป็นใครมาจากไหน?

อีลอน รีฟ มัสก์ เกิดในปี 2514 ที่กรุงพริทอเรีย เมืองหลวงของประเทศแอฟริกาใต้ เป็นพี่ชายคนโตในหมู่พี่น้อง 3 คน มีพ่อเป็นวิศวกรชาวแอฟริกาใต้ แม่เป็นนางแบบและนักโภชนาการชาวแคนาดา หลังจากพ่อแม่ของมัสก์หย่ากันในปี 2523 เขาก็ใช้ชีวิตกับพ่อเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งไม่น่าจะเป็นประสบการณ์ที่ดีนัก เพราะนายมัสก์เคยกล่าวว่า พ่อของเขาเป็นมนุษย์ที่เลวร้าย “ความชั่วร้ายเกือบทั้งหมดที่คุณจะสามารถคิดได้นั้น เขาทำมันมาหมดแล้ว”

นายมัสก์เรียนที่โรงเรียนเตรียมการศึกษา Waterkloof House ซึ่งเป็นโรงเรียนพูดภาษาอังกฤษ ก่อนจะเรียนจบจากโรงเรียนมัธยมชายล้วนในกรุงพริทอเรีย เขาอ้างว่าตัวเองเป็นหนอนหนังสือ มีเพื่อนเพียงไม่กี่คน และเป็นเด็กที่ถูกรังแก นายมัสก์เล่าด้วยว่า เขาเคยถูกเพื่อนร่วมโรงเรียนล่อลวงไปซ้อม และเรื่องนี้ดำเนินไปนานหลายปี

“ไม่รู้ทำไม พวกเขาก็ตัดสินใจให้ผมเป็นเหยื่อ และตามเล่นงานผมไม่หยุดหย่อน นั่นทำให้การเติบโตขึ้นมานั้นยากลำบาก หลายปีผ่านไปเรื่องนี้ก็ไม่เคยหยุด ผมถูกแก๊งที่โรงเรียนซึ่งพยายามจะทำร้ายผมไล่ล่าไปรอบๆ พอกลับถึงบ้าน ที่นั่นก็เลวร้ายไม่ต่างกัน” นายมัสก์กล่าว

เทคโนโลยีจึงกลายเป็นทางหนีของมัสก์ ตอนอายุ 10 ขวบ เขาได้รู้จักกับการเขียนโปรแกรมด้วยคอมพิวเตอร์ VIC-20 ไม่นานหลังจากนั้น นายมัสก์ก็เชี่ยวชาญการเขียนโปรแกรมมากพอจนสร้างเกม Blastar ซึ่งมีสไตล์คล้ายเกมชื่อดังในยุคนั้นอย่าง Space Invaders ขึ้นมา ก่อนจะขาย BASIC code ของเกมที่ว่าให้นิตยสารคอมพิวเตอร์เจ้าหนึ่งในราคา 500 ดอลลาร์ ครั้งหนึ่ง นายมัสก์กับน้องชายเคยวางแผนเปิดร้านเกมตู้ใกล้โรงเรียนด้วย แต่ถูกพ่อแม่จับได้เสียก่อน

จุดเริ่มธุรกิจของ อีลอน มัสก์

นายมัสก์ย้ายไปอยู่แคนาดาตอนอายุ 17 ปี โดยได้รับสัญชาติแคนาดาผ่านทางแม่ เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยควีนส์ ในเมืองคิงสตัน ที่ซึ่งเขาได้พบกับ จัสติน วิลสัน ภรรยาคนแรกของเขา โดยทั้งคู่แต่งงานและมีลูกชายถึง 5 คน เป็นแฝด 2 และแฝด 3 ก่อนจะหย่ากันในปี 2551

หลังจากเรียนที่มหาวิทยาลัยควีนส์ได้ 2 ปี มัสก์ก็ย้ายไปเรียนที่มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียในสหรัฐฯ เลือกวิชาเอก 2 ตัว แต่เขาไม่ได้เรียนอย่างเดียว เขากับเพื่อนนักศึกษาอีกคน ซื้อหอพักขนาด 10 ห้องนอนและใช้เป็นเหมือนไนต์คลับส่วนตัว ก่อนที่มัสก์จะเรียนจบปริญญาตรีสาขาวิทยาศาสตร์เอกฟิสิกส์ และสาขาศิลปศาสตร์เอกเศรษฐกิจจากโรงเรียน วาร์ตัน

พออายุได้ 24 ปี มัสก์ก็ย้ายไปแคนาดาเพื่อเรียนต่อปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด แต่เนื่องจากยุคนั้นเป็นช่วงที่อินเทอร์เน็ตเฟื่องฟูขึ้นมาและซิลิคอนวัลเลย์กำลังบูม ทำให้วิสัยทัศน์ในฐานะนักธุรกิจของมัสก์พรั่งพรู จนทำให้เขาล้มเลิกเรื่องการต่อปริญญาเอกทันที หลังจากสมัครได้เพียง 2 วัน

ในปี 2538 นายมัสก์กับคัมบัล น้องชาย ลงทุน 15,000 ดอลลาร์สหรัฐ เปิดบริษัท Zip2 บริษัทผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ในรูปแบบเว็บไซต์ ซึ่งช่วยให้หนังสือพิมพ์เจ้าต่างๆ สามารถพัฒนาไกด์ชมเมืองออนไลน์ของตัวเอง ก่อนที่ 4 ปีต่อมา มัสก์จะขาย Zip2 ให้บริษัท Compaq Computer Corp. ในราคา 341 ล้านดอลลาร์ แล้วใช้เงินนั้นมาเปิดบริษัท X.com ผู้พัฒนาเทคโนโลยีการเงิน (fintech) ซึ่งยังเป็นคำที่ไม่ได้ใช้กันแพร่หลายในยุคนั้น

ต่อมา X.com ได้ผสานรวมกับบริษัทโอนเงินชื่อ Confinity และ กลายเป็นบริษัท PayPal ซึ่ง ปีเตอร์ ธีล อีกหนึ่งผู้ร่วมก่อตั้งได้ขับมัสก์ออกจากบริษัท ก่อนที่ Ebay จะซื้อ PayPal ไปในราคา 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่มัสก์ก็ยังได้เงินจากการซื้อครั้งนี้ ผ่านหุ้น PayPal 11.7% ที่เขาถืออยู่

...

Tesla กับ SpaceX

อีลอน มัสก์ เข้ามามีร่วมธุรกิจกับ Tesla ซึ่งตอนนั้นยังใช้ชื่อ Tesla Motor ในฐานะนักลงทุนแรกเริ่มเมื่อปี 2547 โดยสนับสนุนเงินทุกจำนวน 6.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเข้าร่วมทีมบริหารบริษัทร่วมกับนาย มาร์ติน เอเบอร์ฮาร์ด ผู้รับตำแหน่งซีอีโอ อย่างไรก็ตาม เกิดความไม่ลงรอยกันหลายอย่างในบริษัท ทำให้นายเอเบอร์ฮาร์ดถูกถอดออกจากตำแหน่งในปี 2550 ก่อนที่นายมัสก์จะรับตำแหน่งซีอีโอกับฝ่ายสถาปัตยกรรมผลิตภัณฑ์ และทำให้ Tesla กลายเป็นผู้ผลิตรถยนต์ที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก

ขณะเดียวกัน นายมัสก์ใช้เงินส่วนใหญ่ที่ได้จากเงิน 180 ล้านดอลลาร์ที่ได้จากการขายหุ้น PayPal ในการก่อตั้งบริษัท เทคโนโลยีการสำรวจอวกาศ (Space Exploration Technologies Corporation) ซึ่งรู้จักกันทั่วไปในชื่อ SpaceX ในปี 2545 และปัจจุบันกลายเป็นผู้ผลิตจรวดนำส่งรายใหญ่ของโลก ได้ทำสัญญาณขนส่งกับองค์การนาซา และนายมัสก์วางแผนจะส่งนักบินอวกาศไปยังดาวอังคารให้ได้ภายในปี 2568 ด้วยความร่วมมือกับนาซา

...

มหากาพย์การเทกโอเวอร์ทวิตเตอร์

นายมัสก์ถือเป็นผู้ใช้งานเว็บไซต์ทวิตเตอร์ตัวยง ก่อนจะมีการเปิดเผยในเดือนเมษายนที่ผ่านมาว่า เขาถือหุ้นทวิตเตอร์ถึง 9.2% ทำให้คณะกรรมการของทวิตเตอร์เสนอตำแหน่งในบอร์ดบริหารแก่นายมัสก์ ซึ่งเขารับก่อนจะปฏิเสธภายในไม่กี่วันต่อมา หลังจากนั้น นายมัสก์ก็ส่งจดหมายถึงบอร์ดบริหารของทวิตเตอร์ เสนอจะซื้อบริษัทในราคา 54.20 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อหุ้น

นั่นคือจุดเริ่มต้นของมหากาพย์การซื้อทวิตเตอร์ของนายมัสก์ โดยในตอนแรกบอร์ดของทวิตเตอร์ไม่ต้องการขาย และใช้กลยุทธ์วางยาพิษ (poison pill) ด้วยการอนุญาตให้ผู้ถือหุ้นเดิม สามารถซื้อหุ้นออกใหม่ในราคาที่ถูกลง เพื่อลดการถือครองของนักลงทุนรายใหม่ และเพื่อไม่ให้นายมัสก์ถือครองหุ้นมากขึ้นกว่าเดิม แต่สุดท้ายทวิตเตอร์ก็ตกลงขายบริษัทภายใต้ข้อตกลงมูลค่า 4.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

ทว่าในเดือนกรกฎาคม 2565 นายมัสก์กลับพยายามถอนตัวออกจากข้อตกลงดังกล่าว อ้างว่าทวิตเตอร์ล้มเหลวในการให้ข้อมูลเกี่ยวกับบัญชีผู้ใช้ปลอมและสแปมในระบบ ทำให้ทวิตเตอร์ยื่นฟ้องร้องมหาเศรษฐีรายนี้ เพื่อบังคับให้เขาทำข้อตกลงให้เสร็จสิ้น จากนั้นทั้งสองฝ่ายก็ต่อสู้กันทางกฎหมายเรื่อยมา

จนกระทั่งในวันที่ 3 ต.ค. 2565 นายมัสก์กลับลำอีกครั้ง โดยระบุว่าเขาจะซื้อทวิตเตอร์ในราคาที่เขาเสนอไปในตอนแรกคือ 54.20 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อหุ้น หากผู้ให้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์เจ้านี้ยอมถอนฟ้อง จากนั้นในวันที่ 26 ต.ค. เขาไปยังสำนักงานใหญ่ของทวิตเตอร์ที่ซาน ฟรานซิสโก พร้อมกับแบกซิงก์ล้างหน้า และเปลี่ยนข้อมูลประวัติบนหน้าทวิตเตอร์ของตัวเองใหม่ โดยใช้คำว่า "Chief Twit" ก่อนจะปิดดีลซื้อขายในวันต่อมา ได้เป็นเจ้าของทวิตเตอร์อย่างเป็นทางการ

...

อนาคตของทวิตเตอร์ในมือ อีลอน มัสก์

ตามรายงานที่นายมัสก์นำเสนอให้ผู้ถือหุ้นของทวิตเตอร์ดูเมื่อเดือนพฤษภาคม เขาวางแผนจะเพิ่มรายได้ของบริษัทถึง 5 เท่าเป็น 2.64 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ, เพิ่มยอมซับสไครบ์ที่เรียกว่า Twitter Blue เป็น 69 ล้านบัญชีในปี 2568 และ 159 ล้านบัญชีในปี 2571 และจะเพิ่มจำนวนผู้ใช้ทวิตเตอร์จาก 200 ล้านบัญชีในปีก่อนเป็น 900 ล้านบัญชีภายในปี 2571

นอกจากนั้นยังระบุถึง แอปพลิเคชัน X โดยนายมัสก์ทวีตข้อความเมื่อ 5 ต.ค.ว่า การซื้อทวิตเตอร์จะเป็นตัวเร่งให้การสร้างแอปพลิเคชัน “X, the everything app” เสร็จเร็วขึ้น โดยยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดใดๆ เกี่ยวกับแอปนี้ แต่คาดกันว่า แอปพลิเคชันปริศนานี้อาจมีลักษณะเป็นแอปครบวงจรเหมือน “WeChat” ที่ใช้ได้ตั้งแต่การเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ส่งข้อความ ชำระเงิน และเรียกรถหรือจงสถานที่

ขณะที่หลายฝ่ายกังวลว่าการเข้าควบคุมทวิตเตอร์ของนายมัสก์จะทำให้มีการเผยแพร่ข้อมูลผิดๆ และคำพูดเกลียดชังมากขึ้น หลังจากเขาเคยกล่าวหาทวิตเตอร์ว่า มีอคติเข้าข้างฝ่ายซ้าย และเซนเซอร์การแสดงความเห็นของฝั่งอนุรักษนิยม เขายังเคยพูดว่าจะปลดแบนบัญชีผู้ใช้ที่เคยถูกลงโทษ รวมถึงบัญชีทวิตเตอร์ของโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งถูกแบนถาวรฐานปลุกปั่นให้เกิดการจลาจล ที่อาคารรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อปี 2564

อย่างไรก็ตาม มหาเศรษฐกิจผู้นี้ให้คำมั่นว่า ทวิตเตอร์จะไม่กลายเป็นสถานที่ไม่น่าอภิรมย์ที่เปิดรับทุกอย่าง แต่เขาก็ต่อต้านการเซนเซอร์ที่เกิดขอบเขตของกฎหมาย นายมัสก์บอกอีกว่า ทวิตเตอร์จะจัดตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองเนื้อหา ที่มีมุมมองหลากหลายขึ้นมา และบริษัทจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายใหญ่ๆ หรือการปลดแบนบัญชีผู้ใช้จนกว่าคณะกรรมการนี้จะก่อตั้งขึ้น

นายปารัก อักราวัล อดีตซีอีโอของทวิตเตอร์
นายปารัก อักราวัล อดีตซีอีโอของทวิตเตอร์

ปลดผู้บริหาร-พนักงาน 50%

หลังจากเป็นเจ้าของทวิตเตอร์ได้ไม่ถึง 1 วัน นายมัสก์ดำเนินการไล่ผู้บริหารระดับสูงออกจากบริษัททันที รวมถึงนาย ปารัก อักราวัล ซีอีโอ, นายเนด เซกัล ซีเอฟโอ และนาง วิชยา กัดดี หัวหน้าฝ่ายนโยบายกฎหมาย, ความเชื่อมั่น และความปลอดภัย ทำให้เขากลายเป็นผู้บริหารเพียงคนเดียวจนกว่าจะมีการตั้งคณะกรรมการชุดใหม่

นายมัสก์ยังวางแผนเก็บค่าบริการรายเดือนสำหรับ เพื่อการ ยืนยันตัวตน หรือการที่บัญชี ทวิตเตอร์ ได้รับเครื่องหมายถูกสีฟ้า ในราคาเดือนละ 8 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 300 บาทจากเดิมที่ไม่เคยเก็บ เพิ่มเติมจากค่าซับสไครบ์ Twitter Blue ที่เก็บเดือนละ 5 ดอลลาร์แลกกับสิทธิพิเศษต่างๆ แต่ไม่รวมการยืนยันตัวตน และมีรายงานว่า ทวิตเตอร์กำลังพิจารณาเพิ่มค่าซับสไครบ์เป็น 20 ดอลลาร์ต่อเดือนด้วย

แผนการนี้ทำให้นาง ซาราห์ เพอร์ซอนเนตต์ หัวหน้าฝ่ายดูแลลูกค้าสัมพันธ์ของทวิตเตอร์ประกาศลาออก ขณะที่มีราคาคนดังหลายคนประกาศเลิกใช้ทวิตเตอร์ รวมถึง ชอนดา รีมส์ นักแสดงจากซีรีส์ Hitmaker, ที เลออนนี และอเล็กซ์ วินเทอร์ จากภาพยนตร์ Bill & Ted’s และนักร้อง ซารา บาเรลเลสกับ โทนี แบรกซ์ตัน ก็โบกมือลาด้วย

และล่าสุดในวันที่ 4 พ.ย. ทวิตเตอร์ได้เริ่มเลย์ออฟพนักงานในแผนกต่างๆ รวมกว่า 50% ตามข่าวที่ออกมาก่อนหน้านี้ โดยส่งข้อความแจ้งเตือนไปยังพนักงานเมื่อวันพฤหัสบดี โดยลูกจ้างทวิตเตอร์หลายคนเผยว่า พวกเขาถูกล็อกเอาต์ออกจากบัญชีผู้ใช้ของบริษัทตั้งแต่ก่อนมีการแจ้งเตือนเรื่องการเลย์ออฟพนักงานแล้ว และบางคนก็แชร์ภาพอีโมจิรูปหัวใจสีฟ้าและรูปแสดงความเคารพ เพื่อบอกเป็นนัยว่าพวกเขาถูกให้ออกจากบริษัท

ความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดทั้งมวลเกิดขึ้นในเวลาสัปดาห์เดียวเท่านั้น หลังจาก อีลอน มัสก์ เข้าเป็นเจ้าของทวิตเตอร์ ซึ่งต้องจับตาดูกันต่อไปว่า หลังจากนี้เขาจะสร้างความประหลาดใจอะไรให้โลกได้เห็นอีก





ผู้เขียน : ทิตชนม์ สว่างศรี

ที่มา : cnetinvestopedia , bbc