การเมืองในอังกฤษช็อกกันอีกครั้ง เมื่อ ลิซ ทรัสส์ ออกมาประกาศลาออกจากตำแหน่งเมื่อเวลา 13.30 น. ของวันนี้ ตามเวลาท้องถิ่น โดยให้เหตุผลในการตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษว่าเป็นเพราะเธอไม่สามารถทำในสิ่งที่ได้รับมอบหมายได้

‘ดิฉันไม่สามารถทำภารกิจที่ได้รับมอบหมาย... และจะยังคงเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปจนกว่าจะมีการเลือกผู้ที่จะมารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่’ ลิซ ทรัสส์ ออกมาแถลงที่หน้าบ้านเลขที่ 10 บนถนนดาวนิง ในกรุงลอนดอน เพื่อประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พร้อมกับกล่าวว่า จะมีการเลือกผู้มารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ต่อจากเธอในสัปดาห์หน้า

ลิซ ทรัสส์ ประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษ เมื่อ 20 ต.ค.2565
ลิซ ทรัสส์ ประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษ เมื่อ 20 ต.ค.2565

การประกาศลาออกจากตำแหน่ง ทำให้ ลิซ ทรัสส์ กลายเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งสั้นที่สุดของอังกฤษ เนื่องจากดำรงตำแหน่งได้เพียงแค่ 45 วันเท่านั้น หลังจาก ลิซ ทรัสส์ อดีต รมว.ต่างประเทศ วัย 47 ปี ได้ฝ่าด่านการลงคะแนนของ ส.ส.พรรคคอนเซอร์เวทีฟหลายรอบ จนเป็นตัวเก็งในการชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่กับนายริชี ซูนัค อดีต รมว.คลัง กระทั่งเธอได้รับชัยชนะ ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษคนใหม่ เมื่อ 6 ก.ย. 2565 สืบต่อจาก อดีตนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน ที่ถูกกระแสกดดันจากภายในพรรคคอนเซอร์เวทีฟ จนลาออกจากตำแหน่ง เมื่อ 7 ก.ค.ที่ผ่านมา

...

ลิซ ทรัสส์ กลายเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนที่ 3 ของอังกฤษ ต่อจาก นางมาร์การ์เร็ต แทตเชอร์ และเทเรซา เมย์ นอกจากนั้น ลิซ ทรัสส์ ยังเป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษคนสุดท้ายที่ได้เข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ณ พระตำหนักบัลมอรัล ในสกอตแลนด์ เพื่อได้รับพระราชทานโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ และจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศได้ ก่อนที่พระองค์จะเสด็จสวรรคตในอีก 2 วันต่อมา

แต่แล้วหลังดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคคอนเซอร์เวทีฟคนใหม่และนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของอังกฤษได้เพียงแค่ 45 วัน ลิซ ทรัสส์ ต้องออกมาประกาศลาออก เนื่องจากถูกโจมตีอย่างหนักจากการนโยบายเศรษฐกิจในรัฐบาลของเธอ โดยเฉพาะการประกาศแผนลดภาษีให้แก่กลุ่มคนรวยที่สุดในประเทศ และถึงแม้ต่อมา ลิซ ทรัสส์ จะยอม'ถอย'ในเรื่องนี้ แต่ก็ไม่สามารถฝ่ากระแสความไม่พอใจของสมาชิกภายในพรรค รวมทั้งนโยบายนี้ทำให้ ลิซ ทรัสส์ ถูกโจมตีอย่างหนักจากพรรคเลเบอร์ ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้าน และประชาชนส่วนใหญ่ในสหราชอาณาจักร.

ที่มา : BBC,Dailymail