รัฐบาลไนจีเรียแจ้งยอดผู้เสียชีวิตจากน้ำท่วมครั้งเลวร้ายที่สุดในรอบหลายทศวรรษว่า มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 600 ศพแล้ว และมีผู้ที่ต้องอพยพจากบ้านเรือนมากกว่า 1 ล้าน 3 แสนคน

กระทรวงกิจการมนุษยธรรมไนจีเรียรายงานว่า มีผู้เสียชีวิตจากน้ำท่วมแล้ว 603 คนนับจนถึงวันที่ 16 ตุลาคม เพิ่มขึ้นจาก 500 คนเมื่อสัปดาห์ก่อน สาเหตุหนึ่งที่มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็นเพราะรัฐบาลท้องถิ่นไม่ได้เตรียมตัวรับมือกับน้ำท่วม นอกจากนี้ยังมีบ้านเรือนเสียหายมากกว่า 200,000 หลัง พื้นที่ทางการเกษตรเสียหายร่วม 687,500 ไร่

สำนักงานจัดการเหตุฉุกเฉินแห่งชาติแถลงว่า ปกติแล้วไนจีเรียจะเริ่มเข้าสู่ฤดูฝนในเดือนมิถุนายน แต่ปีนี้ฝนตกหนักมากกว่าปกติตั้งแต่เดือนสิงหาคม คาดว่าน้ำท่วมจะดำเนินต่อไปจนถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายน

รัฐมนตรีกระทรวงการจัดการภัยพิบัติกล่าวว่า น้ำท่วมล่าสุดในไนจีเรียได้กลายเป็นหายนะที่ "ท่วมท้น" และหลายรัฐไม่ได้เตรียมพร้อมอย่างเหมาะสมสำหรับพวกเขาแม้จะมีคำเตือน

ไนจีเรียเคยชินกับน้ำท่วมที่เกิดขึ้นตามฤดูกาล แต่ปีนี้สถานการณ์เลวร้ายกว่าปกติมาก รัฐบาลได้กล่าวว่าฝนตกหนักผิดปกติและกล่าวโทษปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นอกจากนั้น น้ำท่วมยังสร้างความกังวลเกี่ยวกับการแพร่กระจายของโรคที่เพิ่มขึ้น และขณะที่การขนส่งเสบียงอาหารและเชื้อเพลิงก็หยุดชะงักเช่นกัน

ในการแถลงข่าวเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา นางซาดิยา อูมาร์ ฟารุก รัฐมนตรีกระทรวงกิจการมนุษยธรรมและการจัดการภัยพิบัติของไนจีเรีย เรียกร้องให้หน่วยงานท้องถิ่นอพยพผู้คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงที่สุด โดยเจ้าหน้าที่กำลังจัดหาอาหารและการสนับสนุนอื่นๆ แก่ผู้ได้รับผลกระทบแล้ว เธอเสริมว่า แม้จะมีความพยายามร่วมกันและมีการแจ้งเตือนล่วงหน้า แต่หน่วยงานของรัฐหลายแห่งไม่ได้เตรียมพร้อมสำหรับอุทกภัย โดยภัยพิบัติได้ส่งผลกระทบต่อ 27 จาก 36 รัฐของไนจีเรีย

...

เศรษฐกิจของไนจีเรียได้รับผลกระทบอย่างมากในปีที่ผ่านมา โดยมีอัตราเงินเฟ้อสูงเป็นประวัติการณ์ และประชาชนจำนวนมากประสบปัญหาในการรับมือ ขณะที่โครงการอาหารโลกและองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติกล่าวเมื่อเดือนที่แล้วว่า ไนจีเรียเป็น 1 ใน 6 ประเทศที่มีความเสี่ยงสูงต่อภาวะความหิวโหย

หน่วยงานอุตุนิยมวิทยาของไนจีเรียได้เตือนว่าน้ำท่วมอาจดำเนินต่อไปจนถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายนในบางรัฐทางตอนใต้ของประเทศ รวมถึง อานัมบรา, เดลตา, ริเวอร์ส, ครอส ริเวอร์ส และ บาเยลซา.

ที่มา บีบีซี