ปธน.ปูติน เผยผลการสอบสวนของ สนง.ความมั่นคงรัสเซีย ชี้ หน่วยปฏิบัติการพิเศษของยูเครน คือตัวการที่อยู่เบื้องหลังใช้ระเบิดหนักกว่า 2 หมื่นกก.โจมตีสะพานไครเมีย

เมื่อ 12 ต.ค. 2565 สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย กล่าวในวันนี้ (12 ต.ค.) ว่า ‘หน่วยปฏิบัติการพิเศษของยูเครน’ คือตัวการที่อยู่เบื้องหลังการก่อวินาศกรรมใช้ระเบิดโจมตี สะพานไครเมีย ความยาวนับ 19 กิโลเมตร ที่ทอดข้ามช่องแคบเคียร์ซ เชื่อมระหว่างภาคใต้รัสเซียกับคาบสมุทรไครเมีย เมื่อวันเสาร์ที่ 8 ต.ค.ที่ผ่านมา 

ด้านสำนักข่าวในรัสเซีย เผยว่า สำนักงานความมั่นคง (FSB) ของรัสเซีย ได้ออกแถลงการณ์ระบุว่า ทางการรัสเซียได้ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัย 8 คน ที่ต้องสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดโจมตีสะพานไครเมีย ซึ่งถือเป็นสะพานสัญลักษณ์สำคัญของรัสเซีย ที่สร้างขึ้นหลังรัสเซียผนวกคาบสมุทรไครเมียเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของรัสเซียในปี 2557

ในจำนวนผู้ต้องสงสัย 8 คนนี้ ประกอบด้วย ชาวรัสเซีย 5 คน และพลเรือนชาวยูเครน และอาร์เมเนีย 3 คน โดยที่สำนักงานความมั่นคงรัสเซียไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดใดๆ เพิ่มเติมเกี่ยวกับผู้ต้องสงสัยเหล่านี้

...

‘มีการซุกซ่อนระเบิดน้ำหนักถึง 22,750 กิโลกรัม ไว้ในม้วนพลาสติก 22 ม้วน ซึ่งถูกลักลอบนำขึ้นเรือลำหนึ่งที่แล่นมาจากท่าเรือเมืองโอดิชา ของยูเครน เพื่อไปยังบัลแกเรีย ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา จากนั้นได้มีการลักลอบขนระเบิดเหล่านี้ทางเรือมายังท่าเรือเมืองโปติในจอร์เจีย ก่อนจะส่งระเบิดต่อมายังอาร์เมเนีย และถูกลำเลียงขึ้นรถบรรทุกมาในรัสเซีย’ แถลงการณ์จาก FSB

ระเบิดหนักกว่า 2 หมื่นกิโลกรัมเหล่านี้ถูกนำขึ้นรถบรรทุกซึ่งติดป้ายทะเบียนจอร์เจีย เดินทางเข้ามาในรัสเซียเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม และมาถึงภูมิภาคคราสโนดาร์ทางภาคใต้รัสเซียในวันที่ 6 ตุลาคม สองวันก่อนจะเกิดเหตุวินาศกรรม

หน่วยดับเพลิง ส่ง เฮลิคอปเตอร์ราดน้ำควบคุมเพลิงที่ลุกไหม้บนสะพานไครเมีย หลังถูกก่อวินาศกรรมโจมตีเมื่อ 8 ต.ค.2565
หน่วยดับเพลิง ส่ง เฮลิคอปเตอร์ราดน้ำควบคุมเพลิงที่ลุกไหม้บนสะพานไครเมีย หลังถูกก่อวินาศกรรมโจมตีเมื่อ 8 ต.ค.2565

‘เป็นการโจมตีของผู้ก่อการร้าย’ ที่ดำเนินการโดยหน่วยปฏิบัติการลับของยูเครน ซึ่งมีการประสานงานในการขนส่งระเบิดเหล่านี้เพื่อก่อวินาศกรรมโจมตีสะพานไครเมีย

อย่างไรก็ตาม ด้านเจ้าหน้าที่ยูเครนได้ปฏิเสธรายงานการสืบสวนของรัสเซียดังกล่าวที่ออกมาในวันนี้ (12 ต.ค.) โดยชี้ว่าเป็นข้อกล่าวหาที่ ‘เหลวไหลไร้สาระ’.

ที่มา : SCMP