หลังจากภารกิจอาร์ทีมิส 1 (Artemis I) ที่จะส่งจรวดเอสแอลเอส (Space Launch System-SLS) ขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา หรือองค์การนาซา เดินทางไปดวงจันทร์จากศูนย์อวกาศเคนเนดี รัฐฟลอริดา สหรัฐฯ ซึ่งกำหนดว่าจะปล่อยในวันที่ 29 ส.ค.ต้องเลื่อนออกไปเป็นวันที่ 2 ก.ย. เนื่องจากปัญหาการระบายความร้อนของเครื่องยนต์ตัวหนึ่งและการที่เชื้อเพลิงไฮโดรเจนรั่วไหล
อย่างไรก็ตาม เที่ยวบินของจรวดเอสแอลเอสนี้เป็นเที่ยวบินที่ยังไม่ได้ส่งมนุษย์ขึ้นไป แต่จริงๆแล้วก็ต้องส่งมนุษย์ไปดวงจันทร์แน่นอน เพราะภารกิจอาร์ทีมิส 1 นั้นวางเป้าหมายว่าจะนำนักบินอวกาศกลับไปยังดวงจันทร์อีกครั้งในปี พ.ศ.2568 เรียกว่ามนุษย์จะได้กลับไปเหยียบดวงจันทร์อีกครั้งในรอบ 50 ปี หลังจากเคยประสบความสำเร็จกับโครงการอะพอลโลมาแล้ว
ทว่า ดวงจันทร์ก็ไม่ใช่หมุดหมายเดียวที่เราจะส่งมนุษย์ไป ยังมีที่หมายอันสุดแสนทะเยอทะยานก็คือ “ดาวอังคาร” นักวิทยา ศาสตร์จากนาซายังระบุอีกว่า ในระยะยาวก็หมายใจว่าจะไปให้ไกลกว่าดาวอังคารด้วย เพราะเมื่อมนุษย์ได้มีการตั้งถิ่นฐานที่เจริญรุ่งเรืองบนดาวอังคาร ต่อไปในวันข้างหน้าก็อาจมีเทคโนโลยีเพียงพอที่สามารถผลักดันมนุษย์เดินทางไปได้ทั่วระบบสุริยะของเรา
ดังนั้น การกลับไปดวงจันทร์ก็ไม่ใช่แค่สำรวจทรัพยากร บิล เนลสัน ผู้ดูแลระบบของนาซา ระบุว่า นี่คือการกลับไปเพื่อเรียนรู้การอยู่อาศัย การทำงาน และจะทำอย่างไรให้อยู่รอดได้ ซึ่งการอยู่บนดวงจันทร์จะช่วยให้คำตอบว่าจะดูแลรักษามนุษย์ให้มีชีวิตอยู่ได้อย่างไรในสภาวะที่ไม่เอื้ออำนวย นอกจากนี้ยังได้เรียนรู้วิธีใช้ทรัพยากรบนดวงจันทร์เพื่อสร้างสิ่งต่างๆในอนาคต
ด้าน จาค็อบ บลีเชอร์ หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ด้านการสำรวจของนาซา ก็เสริมความเห็นถึงดวงจันทร์ว่า บริวารของโลกดวงนี้จะทำหน้าที่เป็นห้องสมุดท้องฟ้า ซึ่งหินดวงจันทร์และน้ำแข็งจากดวงจันทร์ทำหน้าที่เป็นหนังสือของห้องสมุดแห่งนี้ เราสามารถใช้พวกมันเพื่อเริ่มเปิดเผยว่าระบบสุริยะมีวิวัฒนาการอย่างไร สิ่งนี้สามารถช่วยให้เราเข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกเมื่อสิ่งมีชีวิตเริ่มต้นขึ้นในระบบสุริยะ
...
ทั้งนี้ เป้าหมายที่จะเห็นมนุษย์เดินบนดาวอังคารในปี พ.ศ.2576 ถูกกำหนดโดยฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีบารัค โอบามา และผู้บริหารองค์การนาซาในขณะนั้น ซึ่งก็ ได้ยึดเป็นเป้าหมายตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา.
ภัค เศารยะ