กระทรวงการต่างประเทศจีน แถลงถึงมาตรการที่จะระงับความร่วมมือกับสหรัฐฯในหลายด้าน รวมถึงการเจรจาเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ กับ สหรัฐฯ โดยใช้เหตุผลที่ แนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เพิกเฉยต่อคำคัดค้านของจีนในการเดินทางไปเยือนไต้หวันที่กระทบกับนโยบายจีนเดียว
การที่จีนและสหรัฐฯเป็น ประเทศอุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนใหญ่ที่สุดในโลก ระงับความตกลงการจัดการกับ วิกฤติสภาพภูมิอากาศ ถือเป็นเรื่องใหญ่พอสมควรสำหรับผลกระทบที่จะเกิดกับประชากรโลก ถึงจะเป็นเรื่องของสิ่งแวดล้อมก็ตาม รวมทั้งการที่ จีนมีแผนยุติการโทรศัพท์ติดต่อโดยตรงระหว่างผู้นำทางการทหารทั้งสองฝ่าย ต้องเก็บมาคิดคำนวณว่าความมั่นคงในภูมิภาคนี้ จะเกิดผลกระทบอะไรตามมาหรือไม่ อย่างไร
สถานการณ์ในภูมิภาคเอเชียด้านความมั่นคงค่อนข้างจะร้อนแรงพอสมควร ทั้งการซ้อมรบรอบเกาะไต้หวันของจีน การทดสอบขีปนาวุธของเกาหลีเหนือที่กระทบกระทั่งทั้งพันธมิตรฝ่ายจีนกับฝ่ายสหรัฐฯโดยตรง
ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯกับการล้ำเส้น นโยบายจีนเดียว คงไม่ใช่ปัญหาปัจจุบันทันด่วนที่จะทำให้เกิดสงครามระหว่างสองประเทศ เพราะนโยบายจีนเดียวก็ถูกรุกล้ำมาหลายครั้งหลายหน ดังนั้นการเยือนไต้หวันของ เพโลซี ที่อ้างเรื่องของการส่งเสริมประชาธิปไตยในภูมิภาคนี้ จึงเป็นแค่ เกมของอำนาจ ระหว่าง สหรัฐฯกับจีน ที่จะต้องโชว์ภาพความเป็นมหาอำนาจเอาไว้ให้นานที่สุด
ขณะที่เศรษฐกิจภายในของจีนและสหรัฐฯอยู่ในสภาวะถดถอยทั้งคู่
ดังนั้น การรักษาระดับความขัดแย้งไม่ให้ถึงขั้นต้องเกิดสงคราม จึงยังมีความจำเป็นของทั้งสองประเทศ จะว่าไปแล้วสหรัฐฯกับจีนก็เป็นคู่ค้าที่สำคัญของกันและกันอยู่มาก การจะตัดสินใจรบกัน ต้องคิดแล้วคิดอีก
...
อย่างมากก็คว่ำบาตรด้วยมาตรการทางการทูต
ดูอย่าง สงครามรัสเซีย-ยูเครน นั่นปะไร คิดว่าจะบานปลายเป็นสงครามโลก เพราะทั้งสหรัฐฯและพันธมิตรยุโรปแสดงความไม่พอใจเป็นอย่างมาก สุดท้ายก็ไม่มีใครกล้าไปยุ่งกับ รัสเซีย แถมยังถูกรัสเซียขู่เอาทุกวัน
ยูเครนเลยต้องเป็นแพะรับบาปไป
ทีนี้ใกล้บ้านเรา เมียนมา ต่อกรณีการยึดอำนาจ โดย รัฐบาลทหารเมียนมา ประชาชนออกมาต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยก็ติดคุกฟรี ถูกประหารชีวิต ตายฟรีไปไม่รู้เท่าไหร่ คิดว่า ประเทศมหาอำนาจประชาธิปไตย จะเข้าไปช่วยเหลือ สุดท้ายประชาธิปไตยในเมียนมาก็ถูกโดดเดี่ยว
เอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำประเทศไทยคนใหม่ประกาศต่อหน้ารัฐสภาสหรัฐฯก่อนมารับตำแหน่งจะรณรงค์ต่อสู้ความเป็นประชาธิปไตยในเมียนมา ก็เผอิญว่าช่วงนั้นมีกรณีเครื่องบินรบเมียนมาล้ำแดนไทยเข้ามาโจมตีทหารชนกลุ่มน้อยพอดี เรื่องนี้จะเกี่ยวกับการที่สภาคองเกรส เตะถ่วงในการอนุมัติขายเครื่องบินรบทันสมัยเอฟ 35 เอให้กองทัพอากาศ ที่มี พล.อ.อ.นภาเดช ธูปะเตมีย์ เป็น ผบ.ทอ.หรือเปล่าก็ไม่รู้ คาดว่าต้องรออีก 20 เดือน มูลค่า 7,400 ล้านบาท จำนวน 2 ลำ เป็นเครื่องเปล่าไม่มีอาวุธ ยังไม่ชัวร์แต่ ทอ.ได้รับงบไปสำรองไว้แล้ว 369.1 ล้านบาท อย่างเท่.
หมัดเหล็ก
mudlek@thairath.co.th