สถานการณ์ความมั่นคงโลก ณ เพลานี้ เรียกได้ว่าตึงเครียดยิ่งนัก “สงคราม” แบบในยุโรปดูเหมือนจะคืบคลานเข้ามาในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกมากขึ้นเรื่อยๆ
โดยเป็นผลมาจากเหตุการณ์ช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา “แนนซี เพโลซี” ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐอเมริกา เดินสายเยือน 4 ประเทศเอเชีย สิงคโปร์ มาเลเซีย เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น แต่ตัดสินใจแหวกกำหนดการด้วยการเยือน “ไต้หวัน” ซึ่งเปรียบเสมือนการแหย่รังแตนยั่วยุ “สาธารณรัฐประชาชนจีน”
สหรัฐฯระบุว่า งานนี้ไม่เห็นจะซีเรียสอะไร ก็แค่ประธานสภาฯ เป็นเพียงขั้วการเมืองขั้วหนึ่ง ทำไมจีนถึงต้องกระโตกกระตาก ออกมาขู่สารพัดว่า “อย่าเล่นกับไฟ การเยือนจะมีผลลัพธ์ที่รุนแรงตามมา” ที่สำคัญเมื่อ 25 ปีก่อน (2540) ประธานสภาฯสหรัฐฯ ก็เคยเยือนไต้หวันแล้ว ไม่เห็นจีนจะเดือดร้อนเลย
อย่างไรก็ตาม สำหรับประเทศจีนแล้ว ถือเป็นเรื่องที่ต่างกันเยี่ยงฟ้าดิน ประการแรก ประธานสภาฯสหรัฐฯคือบุคคลเบอร์ 3 ของประเทศ สามารถขึ้นเป็นผู้นำสหรัฐฯต่อจากประธานาธิบดี และรองประธานาธิบดี ไม่ใช่นักการเมืองธรรมดา ขณะที่การเยือนเมื่อ 25 ปีก่อน รูปการณ์ก็ต่างจากปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง
...
ในช่วงนั้นไต้หวันอยู่ภายใต้การบริหารของรัฐบาลพรรคก๊กมินตั๋ง (KMT) ซึ่งในอดีตเป็นฝ่ายที่แพ้สงครามกลางเมืองช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จนต้องหนีระเห็จมาจัดตั้งรัฐบาล “จีนที่ชอบธรรม” บนเกาะไต้หวัน หลายทศวรรษผ่านไปจน
เข้าสู่ปี 2535 ก๊กมินตั๋งได้มี “ฉันทามติ” ในการประชุมสภาเอกภาพแห่งชาติ
ฉันทามติครั้งนั้นระบุว่า “สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) คือ รัฐบาลที่ชอบธรรมของแผ่นดินจีนทั้งหมด ไม่ใช่รัฐบาลสาธารณรัฐ ประชาชนจีน” แน่นอน แม้เป็นถ้อยคำที่เกรี้ยวกราด ประกาศตัวว่า ข้าคือผู้ปกครองจีนที่แท้จริง แต่ภายใต้คอนเซปต์นี้ รัฐบาลจีนเห็นว่า ไต้หวันยอมรับว่าตัวเองคือจีน ไต้หวันจึงเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนจีน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่พอยอมรับได้ เพราะอยู่ใต้หลักการ “จีนเดียว” (One China)
กระนั้น การเมืองย่อมมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ในปี 2559 นางไช่ อิงเหวิน ชนะเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีไต้หวัน นำพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (DPP) เข้ามาบริหารงาน และทำให้ในปี 2562 ตัดสินใจปลีกตัวออกจากแนวทางที่เดินมาในอดีต ไม่เอาแล้วคอนเซปต์ตามฉันทามติปี 2535 ซึ่งไม่นานรัฐบาลจีนก็เริ่มเรียกรัฐบาลไต้หวันและพรรคดีพีพีว่า “ขั้วอิทธิพลเอกราชไต้หวัน”
ดังนั้น การเยือนเมื่อ 25 ปีก่อน ของประธานสภานิวต์ กริงกริช ถือเป็นการเยือนรัฐบาลไต้หวันที่อยู่ใต้หลักการจีนเดียว แต่การเยือนของ “เพโลซี” ในครั้งนี้ ถือเป็นการสนับสนุนกลุ่มที่ต้องการแบ่งแยกดินแดนพร้อมถือเป็นการโจมตีต่ออธิปไตยความเป็นปึกแผ่นของจีนโดยตรง
ที่สำคัญการเยือนครั้งนี้ไม่ถือว่าเป็นการตัดสินใจตามอำเภอใจของ “ประธานสภาฯ” คนเดียว แต่เป็นทริปของรัฐบาลสหรัฐฯ เนื่องจากใช้ทรัพยากรของรัฐบาล กองทัพสหรัฐฯยังทุ่มกำลังให้การอารักขาอย่างเต็มที่ ซึ่งทั้งหมดเป็นงบจากภาษีประชาชน ไม่ใช่การควักกระเป๋าออกเงินเอง
นักวิเคราะห์ความมั่นคงหลายฝ่ายมองว่า วิกฤตการณ์ช่องแคบไต้หวันเคยเกิดขึ้นมาแล้ว 3 ครั้ง ครั้งก่อนหน้านี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2539 ซึ่งจบลงด้วยการเคลื่อนกำลังของจีนและสหรัฐฯก่อนที่ต่างฝ่ายจะแยกย้ายกันไป ครั้งนี้ก็คงไม่ต่างอะไรนัก แต่สิ่งที่จะตามมาคือ ความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯจะย่ำแย่กว่าเดิม และการเผชิญหน้าระหว่างมหาอำนาจตะวันตก-เอเชียจะยิ่งชัดเจนมากขึ้น
บางส่วนมองว่า ภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก จะตึงเครียดมากขึ้น โดยเฉพาะด้านความมั่นคงทางทะเล เครื่องบินจีนหรือเรือรบจีนอาจแสดงความก้าวร้าวมากขึ้น ขณะที่บางส่วนมองว่า แทนที่จะเอาคืนทางการทหาร (ซึ่งจีนแข็งแกร่งมากขึ้น แต่ยังไม่ถึงขั้นสหรัฐฯ) การเล่นงานทางเศรษฐกิจน่าจะเป็นหนทางที่ดีกว่า เนื่องจากเป็นจุดที่ดูแล้ว สหรัฐฯมีความบอบช้ำมากที่สุด ไม่ว่าจะปัญหาเงินเฟ้อ ห่วงโซ่การผลิตที่ต้องพึ่งพาจีน หรือผลกระทบจากสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนจากรัฐบาลชุดก่อน หากเขย่าให้หนักจนประชาชนไม่พอใจก็จะส่งผลไปถึงการเลือกตั้งกลางเทอมปลายปีนี้ อาจถึงขั้นที่เพโลซีสูญเสียเก้าอี้ประธานสภาฯก็เป็นได้
...
และสำหรับประเด็นไต้หวัน ปลายปีนี้รัฐบาลจีนจะจัดการประชุมผู้แทนพรรคคอมมิว นิสต์จีนแห่งชาติครั้งที่ 20 ซึ่งมีรายงานว่า “สี จิ้นผิง” ประธานาธิบดีจีนคนปัจจุบัน อาจได้รับเลือกเป็นเลขาธิการพรรคสมัยที่ 3 หรือถึงขั้นได้รับเลือกดำรงตำแหน่ง “ประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีน” ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ถูกยกเลิกไปแล้ว และบุคคลที่โดดเด่นที่สุดในตำแหน่งนี้คือ ประธาน “เหมา เจ๋อ ตุง” ผู้ก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ถูกยกระดับเท่าประธานเหมา มีการเผยแพร่แนวคิด “สี จิ้นผิง” เป็นหลักสูตรการเรียนการสอน ดังนั้น การจะก้าวข้ามให้ยิ่งใหญ่กว่านั้นจะมีอะไรดีไปกว่าการปิดฉากสงครามกลางเมืองอย่างบริบูรณ์ด้วยการ “รวมแผ่นดินจีนให้เป็นหนึ่งเดียว” เหมือนที่สมเด็จพระจักรพรรดิ “ฮ่องเต้” ผู้ยิ่งใหญ่หลายพระองค์ในอดีตทรงทำสำเร็จ
จึงไม่แปลกที่หลังเหตุการณ์ “เพโลซี” ครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลจีนหลายท่านได้ออกมาประกาศชัดเจนว่า “การรวมชาติอาจมาถึงเร็วกว่าที่คิด”.
วีรพจน์ อินทรพันธ์