เช้าวันจันทร์ที่ผ่านมา มีเพื่อนไลน์ไอดี @ntp59 ไลน์เข้ามาสนทนาด้วย เพื่อนไลน์ท่านนี้เป็นชาวไทยที่จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยในอิรัก มีภรรยาเป็นชาวอิรัก เคยพบและทำงานร่วมกับอาจารย์นิติภูมิธณัฐ มิ่งรุจิราลัย ในอิรัก ท่านเคยเป็นเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นของสถานทูตไทยในตะวันออกกลาง ก่อนหน้าโควิด-19 เคยอยู่ในหน่วยงานทหารของสถานทูตสหรัฐอาหรับ เอมิเรตส์ในประเทศไทย
ท่านเล่าให้ฟังว่าอิรักยุคนี้สู้ยุคของซัดดัม ฮุสเซน ไม่ได้คนที่เคยอยู่ในอิรักในช่วงก่อนและหลังที่สหรัฐฯเข้าไปบุก จะรู้ดีว่าสงครามที่เกิดขึ้นนั้นคือสงครามปล้นน้ำมันดีๆนี่เอง เมื่อปล้นได้แล้ว ก็ปล่อยให้บ้านเมืองอยู่ในสภาวะทรุดโทรม แม้แต่สถานที่โบราณซึ่งเป็นสมบัติของโลกก็ไม่ได้รับการดูแล
อาจารย์นิติภูมิธณัฐไปอิรักหลายรอบ ก่อนโควิด-19 ระบาดไม่นานก็ไปบรรยายมาอีก 2 รอบ เห็นการความแตกต่างของกรุงแบกแดดและอิรักในยุคของซัดดัม ฮุสเซน และยุคที่สหรัฐฯเข้ามาแทรกแซงอย่างชัดเจน ไม่น่าเชื่อเลยครับว่าแบกแดดซึ่งตั้งอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำอันอุดมสมบูรณ์ทั้งแม่น้ำไทกริสและยูเฟรตีสจะกลายเป็นดินแดนที่ไม่สามารถผลิตอาหารได้พอกินเหมือนในอดีต
นักประวัติศาสตร์บอกว่า กรุงแบกแดดหลังจากการยึดครองของสหรัฐฯเสื่อมยิ่งกว่ากรุงแบกแดดเมื่อโดนฮูลากู ข่าน ผู้นำมองโกลที่บุกเข้ามาตีเมื่อ ค.ศ.1258 แม้แต่ใน ค.ศ.1401 ผู้นำเติร์กเชื้อสายมองโกลที่มีชื่อว่าติมูร์ เข้ามารุกราน มหาอำนาจโลกในสมัยนั้นก็ยังไม่ปล่อยให้กรุงแบกแดดทรุดโทรมขนาดนี้ เปอร์เซียก็เคยเข้ามาตีกรุงแบกแดดได้ใน ค.ศ.1508 หลังจากตีได้แล้วก็ยังทำนุบำรุงบ้านเมือง และช่วยให้ประชาชนได้ทำมาหากินมีอาหารการกินสมบูรณ์
อิรักเป็นแหล่งอารยธรรมดั้งเดิมของมนุษยชาติ มีคนเก่งและคนฉลาดจำนวนไม่น้อย 20 มีนาคม ค.ศ.2003 สหรัฐฯโจมตีทางอากาศต่ออิรัก โดยมีอังกฤษและออสเตรเลียร่วมเข้าทำสงคราม ผู้คนก็บ้านแตกสาแหรกขาด สหรัฐฯตั้งรัฐบาลชั่วคราวเมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ.2004 ช่วงนี้นี่เองครับที่มีการคัดกรองคนอิรักที่มีความรู้ความสามารถให้อพยพไปเป็นพลเมืองอเมริกัน ถ้าพิจารณาเผินๆ ก็เหมือนกับเป็นการย้ายถิ่นธรรมดาทั่วไป นอกเหนือจากการปล้นทรัพยากรน้ำมันแล้ว นี่เป็นการปล้นทรัพยากรมนุษย์ชั้นยอดเยี่ยมกระเทียมดองให้ออกจากถิ่นเดิมไปอยู่ในประเทศตัวเอง
...
อิรักแบ่งการปกครองเป็น 18 จังหวัด มี 3 จังหวัดที่เป็นเขตปกครองตนเองของชาวเคิร์ด คือจังหวัดอารบีล ดูอ็อก และสุไลมานียะห์ สิ่งหนึ่งที่เปิดฟ้าส่องโลกพอจับกระแสได้ตั้งแต่ ค.ศ.2001 ก็คือสหรัฐฯและตะวันตกเข้าไปสนับสนุนชาวเคิร์ดอย่างลับๆ จนชาวเคิร์ดมีเงินและอาวุธมากพอที่จะเล่นงานรัฐบาลอิรัก เมื่อมีความแตกแยกเกิดขึ้น พวกตะวันตกที่นำโดยสหรัฐฯก็เปิดหน้าช่วยเหลือ แต่เป็นความช่วยเหลือที่ประสงค์ร้าย ต่อมา มีผู้ใหญ่ชาวอิรักเชื้อสายเคิร์ดมาอยู่ที่กรุงเทพฯ เราจึงได้ทราบการปฏิบัติการจิตวิทยาของสหรัฐฯที่เข้าไปยุยงส่งเสริมให้ผู้คนในประเทศใดประเทศหนึ่งทะเลาะเบาะแว้งกันเอง
สิ่งที่เกิดขึ้นในอิรัก ซีเรีย และตะวันออกกลาง เป็นสิ่งเดียวกันกับที่เกิดขึ้นในยุโรปตะวันออก อาจารย์นิติภูมิธณัฐเคยพาคณะไปเยือนจอร์เจียเมื่อ ค.ศ.2005 ตอนนั้นสหรัฐฯและตะวันตกก็เริ่มเข้าไปสร้างอิทธิพลในจอร์เจีย หลังจากนั้นอีก 3 ปีก็มีสงครามรัสเซีย-จอร์เจีย กรณีสาธารณรัฐปกครองตนเองเซาท์ออสเซเตีย
การอ่านประวัติศาสตร์ก็อย่างหนึ่ง แต่ถ้าจะให้ได้รู้เรื่องลึกซึ้งก็ต้องเป็นการนั่งสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของผู้คนที่เคยอยู่ในประเทศใดประเทศหนึ่งมายาวนานเกิน 10 ปี เห็นความเปลี่ยนแปลงของประเทศ จากอุดมสมบูรณ์และสงบ กลายมาเป็นประเทศแห่งความอดอยากและสงคราม ภายในเวลาน้อยกว่า 1 ทศวรรษ
ขณะนี้ที่กำลังลามมาแรงก็คือเริ่มมีการสร้างความแตกแยกในตะวันออกไกลและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งผู้นำเดินทางไปยุแยงตะแคงรั่วตามที่ต่างๆ และส่งพวกสายลับเข้าไปปฏิบัติการจิตวิทยา ระวังกันเอาไว้บ้างก็ดีนะครับ.
นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัย
songlok1997@gmail.com