- ผลการนับคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศสรอบแรก เมื่อวันที่ 10 เมษายน ปรากฏว่าจากบรรดาผู้สมัครทั้ง 12 คน ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศสคนปัจจุบัน ที่มาจากพรรคสายกลาง คว้าคะแนนมาได้ที่ 27% ขณะที่ นางมารี เลอเปน ผู้สมัครจากพรรคฝ่ายขวา ได้ไปประมาณ 23% ส่วนนายฌอง ลุก เมลองชง ผู้สมัครฝ่ายซ้ายจัด ได้ไปถึง 22% และเนื่องจากไม่มีใครได้เกิน 50% สองผู้สมัครที่มีคะแนนมากที่สุดต้องไปเจอกันต่อในรอบที่ 2
- การเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศสรอบที่ 2 ระหว่าง "มาครง-เลอเปน" จะมีขึ้นในวันที่ 24 เม.ย.นี้ หลังจากสองผู้สมัครเคยผ่านเข้าสู่รอบตัดเชือก แล้วต้องมาชิงชัยกันในการเลือกตั้งเมื่อปี 2560 ซึ่งในครั้งนั้นนายมาครงก็สามารถคว้าชัยชนะมาอย่างขาดลอย ได้เป็นประธานาธิบดีอายุน้อยที่สุดของฝรั่งเศส ในวัย 39 ปี
- สองผู้สมัครจะได้ร่วมแสดงวิสัยทัศน์ ดีเบตครั้งใหญ่และครั้งเดียว ในช่วงค่ำวันที่ 20 เม.ย. ก่อนที่ประชาชนจะตัดสินใจในการลงคะแนนชี้ชะตาอนาคตทางการเมืองของฝรั่งเศสและยุโรป
ชาวฝรั่งเศสบางส่วนต่างมองว่า การเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นเหมือนการลงประชามติสะท้อนความนิยมที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ของกลุ่มขวาจัดในประเทศ และนับเป็นเวลา 20 ปีมาแล้วที่ประธานาธิบดีฝรั่งเศสไม่เคยมีใครถูกเลือกตั้งกลับมาดำรงตำแหน่งอีกเป็นสมัยที่ 2 นับตั้งแต่ประธานาธิบดีฌากส์ ชีรัค ได้รับชัยชนะกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 เมื่อปี 2545 การเลือกตั้งนี้จึงเป็นที่น่าจับตามองอย่างมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองของฝรั่งเศส
...
ชาวฝรั่งเศสคาดหวังอะไร
ในขณะที่ชาติยุโรปติดตามสถานการณ์สงครามในยูเครนอย่างใกล้ชิด ชาวฝรั่งเศสถึง 90% กังวลเกี่ยวกับสถานการณ์สงครามการสู้รบในยูเครน ชาวฝรั่งเศสหันมาสนใจการดูแลเรื่องคลังอาวุธของตัวเอง เรื่องการดำเนินแนวทางการทูต และภัยคุกคามจากการถูกโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์ ทำให้ประเด็นสงครามในยูเครนยังเป็นแต้มต่อสำหรับนายมาครง ในขณะที่ นางเลอเปน เคยกล่าวชื่นชมประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย อย่างเปิดเผย
ขณะเดียวกันในการเลือกตั้งปีนี้ ชาวฝรั่งเศสผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 48.7 ล้านคน ยังให้ความสำคัญกับปัญหาปากท้องของประชาชน แนวทางการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ปัญหาราคาน้ำมันแพง
อย่างไรก็ตามพบว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดีปีนี้ชาวฝรั่งเศสไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องวิกฤติสิ่งแวดล้อมมากนัก เนื่องจากทั้งสองผู้สมัครมีนโยบายสนับสนุนการพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์อยู่แล้ว ในขณะที่ฝรั่งเศสจะต้องหันมาใช้พลังงานนิวเคลียร์ทดแทนพลังงานเชื้อเพลิงให้ได้ 75% ต่างกันตรงที่นางเลอเปนจะตัดงบประมาณอุดหนุนการพัฒนาพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ ส่วนนายมาครงจะลงทุนเพิ่มด้านเทคโนโลยีพลังงานทั้งสองรูปแบบ
ผลโพลล่าสุดชี้มาครงมีโอกาสชนะ
จากผลการเลือกตั้งรอบแรกพบว่า ทั้งนายมาครง และนางเลอเปน ต่างได้รับคะแนนสนับสนุนจากประชาชนมากขึ้นกว่าการเลือกตั้งรอบแรกเมื่อปี 2560 โดยเฉพาะนางเลอเปนมีคะแนนสนับสนุนเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงปลายแคมเปญหาเสียงเมื่อเดือน มี.ค.
ขณะที่โพลล่าสุดจากหลายสำนักชี้ว่า อีกเพียง 1 สัปดาห์ก่อนการเลือกตั้ง นายมาครง จากพรรคอองมาร์ช (La Republique en Marche) ซึ่งเป็นพรรคการเมืองสายกลาง จะมีโอกาสชนะได้เป็นประธานาธิบดีต่อเป็นสมัยที่ 2 โดยโพลของ YouGov และ Datapraxis ที่จัดทำระหว่าง 12-14 เมษายน พบว่า นายมาครงจะได้คะแนนนำอยู่ที่ 54% ส่วนนางเลอเปน จากพรรคเนชันแนล แรลลี (National Rally) จะได้ไป 46% นับเป็นคะแนนที่ทิ้งห่างมากขึ้นถึง 6 จุด จากการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในช่วงก่อนหน้านั้น
...
ขณะเดียวกันผลโพลของ Ifop-Fiducial ที่เปิดเผยเมื่อ 10 เม.ย. พบว่า นายมาครงจะชนะการเลือกตั้งรอบสอง เฉือนนางเลอเปนไปอย่างเฉียดฉิวด้วยคะแนน 51% ต่อ 49% โดยนายมาครงมีคะแนนความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ หลังการเลือกตั้งรอบแรก แต่ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ในช่วงเวลาอีก 1 สัปดาห์ก่อนเลือกตั้งก็อาจมีอะไรเปลี่ยนแปลงได้ เนื่องจากชาวฝรั่งเศสมักจะลงคะแนนรอบแรกให้กับคนที่รักที่ชอบ แล้วจากนั้นในรอบสองก็จะมาใช้เหตุผลพิจารณาเลือกใครคนหนึ่งในบรรดา 2 คน
ชัยชนะที่อาจไม่ได้ง่ายสำหรับมาครง
นี่เป็นครั้งที่สองที่มาครง-เลอเปน จะได้มาชิงชัยกันในการเลือกตั้งประธานาธิบดีรอบชี้ขาด เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในปี 2560 ซึ่งนายมาครงเอาชนะนางเลอเปนไปได้อย่างขาดลอย แต่ครั้งนี้มันจะไม่ง่ายดายเช่นนั้นแล้ว โดยผลการเลือกตั้งรอบแรกแสดงให้เห็นว่านายมาครงสามารถครองใจผู้นิยมฝ่ายกลางค่อนไปทางซ้ายในแถบฝั่งตะวันตกของประเทศ ส่วนนางเลอเปนมีคะแนนนำในกลุ่มผู้นิยมฝ่ายขวาทางตอนใต้ของประเทศ รวมไปถึงอดีตเขตอุตสาหกรรมทางตอนเหนือ
...
เพื่อให้ได้รับชัยชนะในรอบนี้ นางเลอเปนเรียกร้องให้ทุกคนที่ไม่ได้ลงคะแนนให้มาครงหันมาเลือกเธอ และนำฝรั่งเศสกลับมาสู่ความสงบ ในขณะที่นายมาครงจะต้องโน้มน้าวใจกลุ่มผู้สนับสนุนของนายฌอง ลุค เมลองชง ผู้สมัครฝ่ายซ้ายสุดโต่งมาอยู่ฝ่ายเขาทั้งหมดให้ได้
เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา นายเมลองชงกล่าวกับผู้สนับสนุนของเขาว่า เราจะต้องไม่เสียคะแนนให้กับนางเลอเปนแม้แต่คะแนนเดียว แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจะสนับสนุนมาครงทั้งหมด ในขณะที่ผู้สมัครรายอื่นๆ ที่พ่ายการเลือกตั้งรอบแรก ยกเว้น นายเอริก เซมมัวร์ จากพรรคฝ่ายขวา ต่างบอกกลุ่มผู้สนับสนุนของตัวเองให้ช่วยเทคะแนนไปให้มาครง เพื่อสกัดนางเลอเปนไม่ให้ขึ้นมามีอำนาจ
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ฝรั่งเศสเกิดการแตกแยกทางการเมืองระหว่างแนวคิดสายกลางที่ปฏิบัติได้จริง และเปิดกว้างต่อโลก กับ แนวคิดสุดโต่งแบบชาตินิยม ที่มีแนวโน้มแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ พรรคการเมืองสายกลางต้องเผชิญกับกลุ่มผู้สนับสนุนพรรคการเมืองฝ่ายขวาที่ต่อต้านระบบ ที่เลือกไม่ออกเสียง หรือเลือกที่จะไม่กาเครื่องหมายใดๆ หรือหันไปลงคะแนนให้กับนางเลอเปน
...
ในช่วง 5 ปีของรัฐบาลมาครง มีช่วงเวลาที่ท้าทาย แต่เขาก็ยังได้รับการยอมรับทั้งในและต่างประเทศ แม้หลายคนจะมองว่ารัฐบาลสายกลางของเขาไม่ค่อยเป็นมิตรกับอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มีนโยบายชาตินิยม และไม่สามารถยับยั้งกลุ่ม AUKUS ล้มดีลซื้อเรือดำน้ำพลังงานดีเซล-ไฟฟ้า 12 ลำ มูลค่าเกือบ 70,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 2.3 ล้านล้านบาทได้ นอกจากนี้ยังไม่ประสบความสำเร็จในการดำเนินความพยายามทางการทูตเพื่อระงับไม่ให้รัสเซียไปทำสงครามบุกยูเครน
ในส่วนของนโยบายในประเทศ เนื่องจากเกิดความท้าทายจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 นายมาครงโดนคนบางกลุ่มต่อต้านจากนโยบายที่ให้ประชาชนต้องแสดงใบรับรองการฉีดวัคซีน แม้จะทำให้อัตราการฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้น แต่หลายคนก็ไม่พอใจ
นอกจากนี้ยังมีการประท้วงต่อต้านนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เขาถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเรื่องการจัดการกับกลุ่มผู้ประท้วงขบวนการเสื้อกั๊กเหลือง ที่เคลื่อนไหวประท้วงแบบขยายวงและต่อเนื่องยาวนานที่สุดของฝรั่งเศสในรอบหลายทศวรรษ
ขณะที่ก่อนการเลือกตั้งรอบแรก นายมาครง ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมการดีเบตกับผู้สมัครคนอื่นๆ แล้วไปทุ่มเทเวลากับการหาเสียงของตัวเองแทน เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า หรือการปะทะคารมที่อาจส่งผลไม่ดีต่อคะแนนเสียงของเขา ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า นับเป็นกลยุทธ์อันชาญฉลาด เพราะสิ่งที่นายมาครงต้องทำคือ รักษาภาพลักษณ์ให้ดีเหนือคู่แข่ง ในฐานะที่เขาเป็นประธานาธิบดีคนปัจจุบัน
ฝรั่งเศสมีโอกาสได้ ปธน.หญิงคนแรกของประเทศ
หลายฝ่ายมองว่า จนถึงวันนี้นางเลอเปนทำได้ดีที่สุด และมีโอกาสมากในการช่วงชิงตำแหน่งประธานาธิบดี เป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของประเทศ และเป็นคนแรกที่มาจากพรรคการเมืองขวาจัดเนชันแนล ฟรอนท์ โดยเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าเธอเป็นนักการเมืองฝ่ายขวาจัดที่ได้รับความนิยมสูงสุดในฝรั่งเศส เธอเป็นบุตรสาวของนายฌอง-มารี เลอเปน ผู้ก่อตั้งพรรคแนวหน้าแห่งชาติ ในอดีตที่ผ่านมาเธอพยายามปรับภาพลักษณ์ของพรรคที่ถูกมองว่าเป็นฝ่ายหนุนการเหยียดเชื้อชาติ ต่อต้านยิวและอาหรับ
นับเป็นครั้งที่ 3 แล้วที่เธอลงสมัครชิงเก้าอี้ประธานาธิบดี เมื่อการเลือกตั้งครั้งที่แล้วในปี 2560 แคมเปญหาเสียงของเธอถูกเปรียบเทียบว่าคล้ายคลึงกับอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ เธอประกาศปกป้องชนชั้นแรงงานที่ถูกลืม และถูกโลกาภิวัตน์ กับเทคโนโลยีแย่งงานไป
มาถึงตอนนี้นางเลอเปนยอมปัดทิ้งนโยบายสุดโต่งต่างๆ ที่ถูกผู้คนวิพากษ์วิจารณ์รุนแรงออกไป อย่างการออกจากสหภาพยุโรป และนโยบายต่อชาวมุสลิมและกลุ่มผู้อพยพในประเทศ แล้วหันมาเน้นย้ำนโยบายต่างๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อปากท้องของประชาชน แต่เธอยังพยายามขับเคลื่อนแนวคิดต่อต้านโลกาภิวัตน์ ต่อต้านกลุ่มอำนาจเก่า ซึ่งเป็นแนวคิดแบบเดียวกับที่เกิดขึ้นในอังกฤษที่ตัดสินใจออกจากอียู และในการเลือกตั้งสหรัฐฯ เมื่อครั้งที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ คว้าชัยชนะไปครอง ซึ่งแน่นอนว่าหากนางเลอเปนคว้าชัยชนะ จะส่งผลกระทบสะเทือนไปทั่วยุโรป และทั่วโลกเช่นเดียวกัน.
ผู้เขียน : เพ็ญโสภา สุคนธรักษ์
ข้อมูล : CNN France24 The Guardian