• นายยูน ซอค ยอล ผู้สมัครจากพรรคฝ่ายค้าน "พลังประชาชน" (People Power-PP) วัย 61 ปี คว้าชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีเกาหลีใต้ เฉือนนายอี แจ มยอง แห่งพรรครัฐบาล "เดโมแครติก" (Democratic) ด้วยคะแนนห่างกันไม่ถึง 1% เป็นตัวเลขคะแนนสูสีกันที่สุดในประวัติศาสตร์การเลือกตั้งของประเทศ
  • ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของเกาหลีใต้ ได้รับฉายา "โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งแดนกิมจิ" เป็นนักการเมืองที่มีประสบการณ์น้อย หาเสียงชูนโยบายลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ประกาศดำเนินนโยบายการต่างประเทศแบบสายเหยี่ยว แข็งกร้าวกับประเทศเพื่อนบ้านเกาหลีเหนือ จีน มากกว่ารัฐบาลชุดเก่า และหันกลับไปให้ความสำคัญกับพันธมิตรเก่าอย่างสหรัฐฯ
  • นายยูน จะเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 10 พ.ค.นี้ ต่อจากประธานาธิบดีมูน แจ อิน ขณะที่ชาวเกาหลีใต้คาดหวังการแก้ปัญหาราคาอสังหาริมทรัพย์พุ่งสูง เศรษฐกิจเติบโตช้า ปัญหาคนว่างงานในหมู่คนหนุ่มสาว และความไม่เท่าเทียมทางเพศ ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังรุนแรง   

หลังประกาศผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีเกาหลีใต้ นายยูน ซอค ยอล ว่าที่ผู้นำคนใหม่สายอนุรักษนิยม ได้ประกาศชัยชนะ และบอกว่านี่เป็นชัยชนะของชาวเกาหลีใต้ผู้ยิ่งใหญ่ โดยบอกว่าจะให้ความสำคัญกับวิถีชีวิตของผู้คน จัดสรรสวัสดิการสังคมให้ตามที่ประชาชนต้องการ และทำให้เกาหลีใต้เป็นประเทศที่ภาคภูมิใจ ตอบสนองต่อสมาชิกประชาคมโลกและโลกเสรี

ตลอดช่วงการหาเสียง มีบ่อยครั้งที่นายยูนถูกบรรดาสื่อเปรียบเทียบว่าเป็นเหมือน อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ด้วยเป็นมือใหม่ในแวดวงการเมือง แถมยังมักจะมีปัญหากับคำพูดของตัวเอง อย่างตอนที่เขากล่าวชื่นชม นายชุน โด ฮวาน อดีตประธานาธิบดีผู้ก่อเหตุฆ่าสังหารหมู่ผู้ประท้วงในปี 2523 ว่าเก่งเรื่องการเมือง จนต้องออกมาขอโทษในภายหลัง นอกจากนั้นเขายังให้คำมั่นว่าจะยุบกระทรวงความเท่าเทียมทางเพศ และกล่าวโทษว่าการเพิ่มขึ้นเป็นดอกเห็ดของกลุ่มเรียกร้องสิทธิสตรี เป็นสาเหตุทำให้อัตราการเกิดของประชากรในเกาหลีใต้ลดลง ท่ามกลางสงครามการต่อสู้เรื่องความไม่เท่าเทียมทางเพศที่กำลังเป็นปัญหาใหญ่ในเกาหลีใต้

...

ขณะที่การเข้ารับตำแหน่งของนายยูน เป็นช่วงที่เกาหลีใต้กำลังเผชิญความยากลำบาก และชัยชนะของเขาที่มีมากกว่าคู่แข่งไม่ถึง 1% ในขณะที่มีประชาชนออกมาลงคะแนนเสียงมากกว่า 3 ใน 4 ส่วนของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทั้งหมด ยังสะท้อนถึงความคิดเห็นที่แตกต่างทางการเมืองของเกาหลีใต้

จากอัยการสู่ตำแหน่งประธานาธิบดี

หลายคนอาจมองว่านายยูน เหมือนหลุดออกมาจากซีรีส์เรื่องดังที่มีพระเอกเป็นอัยการสุดเข้มผู้พิทักษ์ความยุติธรรม แม้ที่ผ่านมาในแวดวงการเมืองเกาหลีใต้ถือว่าเขาไม่ค่อยเป็นที่รู้จักเท่าไรนัก เพราะเพิ่งเข้าสู่เส้นทางการเมืองเมื่อปีที่แล้วนี่เอง แต่ก่อนหน้านั้นเขาดำรงตำแหน่งอัยการมานานถึง 27 ปี และมามีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของสาธารณชนในฐานะอัยการสูงสุดผู้มีบทบาทในการตรวจสอบนักการเมืองระดับสูงและนักธุรกิจรายใหญ่ และประสบความสำเร็จในการดำเนินคดีเอาผิด นางพัค กึน เฮ อดีตประธานาธิบดีจากพรรคฝ่ายอนุรักษนิยม ในข้อหารับสินบนและคอร์รัปชัน จนนำไปสู่การถอดถอนนางพัคออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีในเดือน มี.ค. 2560

ย้อนไปในอดีต นายยูนจบการศึกษาคณะนิติศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล เมื่อปี 2537 เขาเริ่มเข้ารับราชการในตำแหน่งอัยการ และเคยเป็นทนายความในช่วงปี 2545 ก่อนที่จะกลับเข้าทำงานในสำนักงานอัยการ และในปี 2556 เขาเป็นหัวหน้าทีมสอบสวนพิเศษ ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบหน่วยข่าวกรองแห่งชาติ เกี่ยวกับประเด็นอื้อฉาวกรณีมีเจ้าหน้าที่โพสต์ความเห็นทางออนไลน์เอื้อประโยชน์ให้ นางพัค กึน เฮ ชนะการเลือกตั้งในปี 2555 

ต่อมานายยูนได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดีมูน แจ อิน ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานอัยการประจำเขตพื้นที่กรุงโซล และแต่งตั้งเป็นอัยการสูงสุดของเกาหลีใต้เมื่อเดือน ก.ค. 2562 การเข้ามาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของเขาจึงเป็นที่จับตามองว่าจะสามารถทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในสังคมเกาหลีใต้ได้หรือไม่

เพิ่มความแข็งกร้าวกับเกาหลีเหนือ

ชาวเกาหลีใต้ให้ความสำคัญอย่างมากกับประเด็นความสัมพันธ์กับเกาหลีเหนือที่เปราะบางและถือเป็นเรื่องความมั่นคงของชาติ โดยในสมัยรัฐบาลของประธานาธิบดีมูน แจ อิน นับว่ามีความอ่อนโยนกับประเด็นเพื่อนบ้านเกาหลีเหนือ มีการส่งเสริมการปรองดองอย่างสันติ และส่งเสริมให้มีการเจรจาลดความบาดหมางขุ่นเคืองระหว่างกัน นับตั้งแต่การเจรจาเกาหลีเหนือ-เกาหลีใต้ ได้หยุดชะงักไปพร้อมๆ กับการสะดุดของแผนจัดประชุมสุดยอดสหรัฐฯ-เกาหลีเหนือ เมื่อปี 2562

...

จนมาถึงช่วงตั้งแต่เข้าสู่ปีใหม่ 2565 เกาหลีเหนือได้เริ่มมีการแสดงแสนยานุภาพ กระหน่ำทดสอบยิงขีปนาวุธแบบไม่ยั้งถึง 9 ครั้งแล้ว ในช่วงเวลาไม่ถึง 3 เดือน รวมไปถึงการทดสอบยิงขีปนาวุธเร็วเหนือเสียง ทำให้รัฐบาลเกาหลีใต้ต้องออกมาประณามหลายครั้ง  

ช่วงหาเสียง นายยูนประกาศกร้าวว่า เขาไม่เห็นด้วยกับนโยบายต่อเกาหลีเหนือของรัฐบาลที่ผ่านมา โจมตีว่าเป็นการแสดงท่าทีที่อ่อนข้อเกินไป และบอกว่าเมื่อเข้ามาเป็นรัฐบาล เขาจะไม่ผ่อนคลายมาตรการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือ และไม่เตรียมเจรจาสันติภาพใดๆ จนกว่าเกาหลีเหนือจะแสดงความพยายามในการปลดอาวุธนิวเคลียร์ เขาบอกว่าแม้ประตูการเจรจาจะยังเปิดอยู่ แต่การเจรจาจะมีขึ้นด้วยท่าทีแข็งกร้าวของเกาหลีใต้ ไม่ใช่ท่าทีอ่อนโยนอีกต่อไป และจะเร่งเสริมศักยภาพความแข็งแกร่งของกองทัพเกาหลีใต้เพื่อปกป้องอธิปไตย และเตรียมพร้อมเป็นฝ่ายโจมตีก่อนหากเห็นสัญญาณที่เป็นภัยคุกคามต่อประเทศ

นายชุง ซุง ชาง ผู้อำนวยการศูนย์เกาหลีเหนือศึกษา แห่งสถาบันเซจอง ให้สัมภาษณ์กับซีเอ็นเอ็น โดยมองว่า ตอนนี้แทบไม่เหลือความคาดหวังใดๆ ว่าจะมีการเจรจาปลดอาวุธนิวเคลียร์เกาหลีเหนือเกิดขึ้นได้ จนกว่ารัฐบาลใหม่จะจัดทำแผนปลดอาวุธนิวเคลียร์ขึ้นมาใหม่ และเป็นที่ยอมรับได้ทั้งสหรัฐฯ และเกาหลีเหนือ

...

ผู้เชี่ยวชาญยังมองว่า การดำเนินนโยบายที่แข็งกร้าวภายใต้รัฐบาลประธานาธิบดียูน ซอค ยอล อาจทำให้เราได้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีเหนือ-เกาหลีใต้ ที่ตกต่ำย่ำแย่ที่สุด และที่น่ากลัวคือคาบสมุทรเกาหลีที่ร้อนระอุ ความตึงเครียดทางการทหารอาจนำสถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะวิกฤติอย่างที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปี 2560 และกลับมาเป็นความสัมพันธ์แบบประเทศศัตรูเหมือนในยุคสงครามเย็น 

โอกาสที่ดีปรับความสัมพันธ์กับญี่ปุ่น

บรรดานักวิเคราะห์การเมืองความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มองว่า ชัยชนะของนายยูนจะส่งผลให้เกิดโอกาสในการปรับความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านญี่ปุ่นมากขึ้น เนื่องจากรัฐบาลใหม่เกาหลีใต้โน้มเอียงไปทางอนุรักษนิยมมากขึ้น สอดคล้องกับแนวทางของรัฐบาลนายกรัฐมนตรีฟูมิโอะ คิชิดะ และพรรคเสรีประชาธิปไตยของญี่ปุ่น แม้ว่าความขุ่นเคืองจากเรื่องราวในประวัติศาสตร์จะยังคงมีอยู่ แต่อย่างน้อยรัฐบาลของทั้งสองประเทศก็จะได้กลับมามีจุดยืนร่วมกันอีกครั้งในประเด็นที่เกี่ยวกับเกาหลีเหนือและจีน

พอนายยูนได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง นายกรัฐมนตรีฟูมิโอะ คิชิดะ ได้รีบส่งสารแสดงความยินดีไปในทันที โดยระบุว่า เขาขอแสดงความยินดีจากใจจริงสำหรับชัยชนะของนายยูน เพราะในขณะนี้ประชาคมระหว่างประเทศกำลังเผชิญความเปลี่ยนแปลงอย่างมาก เขาจึงมองว่าความสัมพันธ์อันดีระหว่างญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง และสองประเทศมีความจำเป็นที่จะต้องกลับมาพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างกัน นับตั้งแต่ความสัมพันธ์เริ่มร้าวฉานมาตลอดตั้งแต่ประธานาธิบดีมูน แจ อินเข้ารับตำแหน่งเมื่อปี 2560

...


ทิศทางความสัมพันธ์กับสองมหาอำนาจ

หลายปีที่ผ่านมารัฐบาลเกาหลีใต้ดำเนินนโยบายการต่างประเทศอย่างระมัดระวัง เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างสองขั้วมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ และจีน แม้ว่าจะประกาศตัวเป็นพันธมิตรด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ มาอย่างยาวนาน แต่เกาหลีใต้ก็มีการพัฒนาความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจการค้าและการลงทุนกับจีนเป็นอย่างดีมาโดยตลอด 

แต่บรรดานักวิเคราะห์มองว่า จากนี้ไปจะหมดเวลาของการดำเนินความสัมพันธ์แบบสมดุลกับสองขั้วมหาอำนาจ โดยนายยูนประกาศว่า รัฐบาลเกาหลีใต้เป็นพันธมิตรที่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับสหรัฐฯ เพื่อปกป้องเสรีภาพเหนือทรราชและคอมมิวนิสต์ และรัฐบาลของเขาจะฟื้นฟูความเป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ ให้กลับมาดังเดิม

นายยูนเคยกล่าวเมื่อตอนหาเสียงเดือน ม.ค.ที่ผ่านมาว่า หากได้เป็นรัฐบาลจะพิจารณาติดตั้งระบบป้องกันขีปนาวุธเป็นแห่งที่ 2 เพื่อป้องกันภัยคุกคามจากขีปนาวุธเกาหลีเหนือ ซึ่งแน่นอนว่าย่อมจะทำให้จีนเกิดความขุ่นเคือง เหมือนเมื่อครั้งปี 2559 ที่ความสัมพันธ์จีนกับเกาหลีใต้สุดร้าวฉาน ชาวจีนออกมาประกาศแบนสินค้าเกาหลีใต้กันยกใหญ่ ทำให้เกิดความวิตกกังวลว่าจะเกิดกรณีแบบนี้ขึ้นอีก และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเกาหลีใต้

ขณะที่หลังทราบผลว่าชนะเลือกตั้ง ทำเนียบขาวสหรัฐฯ ได้รีบส่งสารแสดงความยินดีต่อนายยูน พร้อมระบุว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน กำลังตั้งตารอที่จะได้ขยายความสัมพันธ์ระหว่างทั้ง 2 ประเทศ หลังจากพิธีสาบานตนรับตำแหน่งของนายยูนจะมีขึ้นในเดือนพ.ค.นี้ แล้วจากนั้นประธานาธิบดีไบเดนและนายยูนได้ต่อสายโทรศัพท์คุยกันเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 มี.ค. โดยผู้นำสหรัฐฯ กล่าวเชิญว่าที่ผู้นำเกาหลีใต้เยือนทำเนียบขาว พร้อมย้ำว่ารัฐบาลสหรัฐฯ หวังว่าจะมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับเกาหลีใต้ เพื่อช่วยกันแก้ปัญหานิวเคลียร์เกาหลีเหนือ

นายยูนยังเคยกล่าวว่า เขาจะดำเนินนโยบายต่างประเทศกับจีนแบบแข็งกร้าวมากขึ้น และเสนอว่า เกาหลีใต้ควรจะให้ความร่วมมือเต็มที่มากขึ้นกับกลุ่มควอด (Quad) พันธมิตร 4 ฝ่าย แบบไม่เป็นทางการ ที่ประกอบด้วย สหรัฐฯ ออสเตรเลีย อินเดีย และญี่ปุ่น ที่ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อคานอำนาจจีนในภูมิภาค แต่ยังไม่ได้ระบุแน่ชัดว่าเกาหลีใต้จะเข้าร่วมกลุ่มด้วยหรือไม่ 

เรียกได้ว่าในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าเราจะได้เห็นรัฐบาลเกาหลีใต้ที่มีนโยบายการต่างประเทศที่แข็งกร้าวและมีทิศทางแตกต่างจากรัฐบาลก่อนของประธานาธิบดีมูน แจ อิน ที่พยายามหาทางปรองดองกับเกาหลีเหนือ และลดการเผชิญหน้ากับจีนที่เป็นพันธมิตรทางการค้าที่สำคัญ.

ผู้เขียน : เพ็ญโสภา สุคนธรักษ์

ข้อมูล : BBCSCMPReuters