ฝรั่งเศสเผย ไบเดน-ปูตินเห็นชอบหลักการ เพื่อจัดประชุมสุดยอดเพื่อแก้วิกฤติยูเครนแล้ว ก่อนเครมลินจะออกมาโต้ว่า ยังไม่มีการวางแผนอย่างชัดเจน

สำนักข่าว บีบีซี รายงานว่า ทำเนียบขาวสหรัฐฯ เปิดเผยในวันจันทร์ที่ 21 ก.พ. 2565 ว่า ประธานาธิบดี โจ ไบเดน เห็นชอบหลักฐาน เพื่อจัดการประชุมสุดยอดร่วมกับประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย เพื่อหารือเรื่องวิกฤติยูเครนแล้ว โดยย้ำว่า การประชุมจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ มอสโกไม่รุกรานประเทศเพื่อนบ้านแห่งนี้

ข้อเสนอเรื่องการประชุมสุดยอดดังกล่าวได้รับการผลักดันโดยประธานาธิบดีฝรั่งเศส หลังจากนายเอ็มมานูเอล มาครง โทรศัพท์พูดคุยกับนายปูติน 2 ครั้งเป็นระยะเวลารวมกว่า 3 ชั่วโมง โดยการคุยครั้งที่ 2 เกิดขึ้นในช่วงเช้าตรู่วันจันทร์ตามเวลากรุงมอสโก หลังจากมาครงหารือกับนายไบเดนนาน 15 นาที

ทำเนียบประธานาธิบดีฝรั่งเศสระบุว่า ผู้นำทั้งสองเห็นชอบที่จะพูดคุยกันผ่านกลุ่ม ‘นอร์มังดี ฟอร์แมต’ (Normandy Format) ซึ่งเป็นกลุ่มที่ประกอบด้วย รัสเซีย, ยูเครน, ฝรั่งเศส และ เยอรมนี ก่อตั้งขึ้นเพื่อหาทางแก้ปัญหาความขัดแย้งในภาคตะวันออกของยูเคน โดยจะมีการหารือเรื่องรายละเอียดเกี่ยวกับการประชุมสุดยอดที่อาจเกิดขึ้น ในการพบกันระหว่างนาย แอนโทนี บลิงเคน กับนาย เซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ และรัสเซียในวันพฤหัสบดีนี้ (24 ก.พ.)

ทำเนียบประธานาธิบดีฝรั่งเศสเผยอีกว่า ประธานาธิบดีปูติน เห็นด้วยเรื่องความจำเป็นของการให้ความสำคัญกับการแก้วิกฤติครั้งนี้ด้วยวิธีทางการทูต และจะมีการทำงานอย่างหนักในไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า เพื่อให้การประชุมสุดยอดเป็นไปได้ โดยมีเป้าหมายที่การหยุดยิง

...

อย่างไรก็ตาม นายดีมิทรี เปสคอฟ โฆษกรัฐบาลรัสเซีย แถลงในเวลาต่อมาว่า ยังเร็วเกินไปที่จะพูดถึงเรื่องแผนการที่ชัดเจนสำหรับการจัดประชุมสุดยอดใดๆ และการเจรจาควรดำเนินต่อไปในระดับรัฐมนตรีต่างประเทศ ส่วนการประชุมใดๆ อาจเกิดขึ้นได้หากผู้นำประเทศทั้งหลายพิจารณาแล้วว่าเหมาะสม

ทั้งนี้ ในแถลงการณ์ยืนยันเรื่องข้อเสนอประชุมสุดยอด ทำเนียบขาวระบุด้วยว่า ดูเหมือนรัสเซียยังคงเตรียมความพร้อมอย่างต่อเนื่องเพื่อบุกโจมตียูเครนอย่างเต็มรูปแบบในเร็วๆ นี้ ขณะที่เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ประเมินว่า ตอนนี้มีกองทหารรัสเซียกว่า 150,000 นายประจำการใกล้ชายแดนยูเครน ส่วนบริษัท แม็กเซอร์ ของสหรัฐฯ เผยว่า ภาพถ่ายดาวเทียมใหม่แสดงให้เห็นว่า รัสเซียส่งรถหุ้มเกราะและทหารจากค่ายทหารใกล้ชายแดนยูเครนไปประจำการเพิ่มอีกหลายจุด.