ศาลอุทธรณ์ตัดสินให้ชายปากีสถานพ้นผิด จากคดีฆาตกรรมน้องสาวผู้เป็นเน็ตไอดอล ซึ่งทำให้เกิดกระแสความโกรธเกรี้ยวไปทั่วประเทศเมื่อหลายปีก่อน แม้ว่าเขาจะรับสารภาพแล้วก็ตาม

สำนักข่าว ซีเอ็นเอ็น รายงานในวันอังคารที่ 15 ก.พ. 2565 ว่า ศาลอุทธรณ์ในประเทศปากีสถานตัดสินให้ นายวาซีม บาล็อค ผู้ก่อเหตุฆาตกรรม น.ส.แคนดีล บาล็อค (Qandeel Baloch) เน็ตไอดอล ซึ่งเป็นน้องสาวแท้ๆ ของเขาเองเมื่อ 6 ปีก่อน ไม่มีความผิด แม้ว่าชายคนนี้จะเคยยอมรับสารภาพว่าเป็นผู้ลงมือก่อเหตุ อ้างว่าน้องสาวทำให้เกียรติของครอบครัวเสื่อมเสีย

นายซาร์ดาร์ เมห์มูด ทนายความของนายบาล็อค ยืนยันกับซีเอ็นเอ็นว่า ลูกความของเขาได้รับการตัดสินให้พ้นผิดแล้วเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา หลังจากอยู่ในคุกมาเกือบ 6 ปี แต่ไม่เปิดเผยรายละเอียดอื่นๆ ขณะที่ศาลยังไม่ประกาศคำตัดสินออกมาต่อสาธารณะ

คดีฆาตกรรม น.ส.บาล็อค ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อปี 2559 ทำให้เกิดกระแสความไม่พอใจไปทั่วปากีสถาน และเกิดกระแสผลักดันให้มีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายเกี่ยวกับการฆ่าเพื่อเกียรติ (honor killing) ซึ่งกำหนดว่า ผู้ก่อเหตุสามารถพ้นผิดได้ หากครอบครัวเหยื่อให้อภัย โดย 3 เดือนหลังเกิดเหตุ สมาชิกสภาปากีสถานก็ตอบรับกระแสสังคมและผ่านกฎหมายต่อต้านการกระทำดังกล่าวแล้ว

ทั้งนี้ นายบาล็อค ถูกจับกุมภายในไม่กี่วันหลังเกิดเหตุ และรับสารภาพผ่านวิดีโอว่าตนเองเป็นผู้สังหารน้องสาววัย 25 ปี ที่บ้านของครอบครัว ที่เมืองมุลตาน ในรัฐปัญจาบ อย่างไรก็ตาม เขาปฏิเสธความผิดระหว่างให้การต่อศาลชั้นต้น ก่อนจะถูกตัดสินในปี 2562 ให้จำคุกตลอดชีวิต

...

คำตัดสินของศาลล่าสุดทำให้นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิสตรีหลายคนในปากีสถานออกมาแสดงความไม่พอใจ เช่น นางนีกัต ดาด ทวีตข้อความว่า “ชายผู้สารภาพว่าสังหารแคนดีล น้องสาวของตัวเอง เป็นอิสระในวันนี้ในประเทศเดียวกับที่แคนดีลไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างอิสระได้”

ส่วน นางซานาม มาเฮอร์ ผู้เขียนหนังสือเรื่อง ‘ผู้หญิงอย่างเธอ : ชีวิตสั้นๆ ของแคนดีล บาล็อค’ (A Woman Like Her: The Short Life of Qandeel Baloch) ก็ออกมาแสดงความไม่พอใจผ่านอินสตาแกรมว่า “ในสังคมที่พยายามกดดันอย่างหนักให้ลงโทษผู้หญิงที่ทำผิดกฎ มันไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจเลยที่ผู้ต้องสงสัยแต่ละคนในคดีนี้ได้รับการตัดสินให้พ้นผิด”

“หลังจากการตัดสินในวันนี้ เราอาจจะถามว่า ใครเป็นคนฆ่าเธอ? ไม่มี ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้น เพื่อเป็นการยอมรับคำตอบนั้น เราทุกคนถือเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดในความผิดที่ไม่อาจปกป้องเหล่าสตรีได้” มาเฮอร์ กล่าว.