- การต่อสู้กับโควิด-19 ที่ดำเนินมาถึงระลอกที่ 3 ยังคงเป็นภารกิจยิ่งใหญ่ของผู้นำสหรัฐฯ จนถึงตอนนี้เชื้อกลายพันธุ์โอมิครอนทำให้การแพร่ระบาดยังคงรุนแรง แม้จะเร่งฉีดวัคซีนเข็มแรกได้แล้วประมาณ 75% ของประชากรในสหรัฐฯ และประมาณ 63% ได้รับวัคซีนครบโดส 2 เข็ม
- ประธานาธิบดีไบเดน สามารถทำตามสัญญาเรื่องเศรษฐกิจได้ครบ 2 ข้อ นั่นคือ การลงนามร่างกฎหมายฟื้นฟูเศรษฐกิจ มูลค่า 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจ่ายให้กับชาวอเมริกันที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ช่วยให้ชาวอเมริกันหลุดพ้นจากความยากจน และอัดฉีดเงินให้กับรัฐบาลท้องถิ่นและหน่วยงานท้องถิ่นต่างๆ และได้ลงนามให้กับร่างกฎหมายที่อนุมัติการใช้งบประมาณมูลค่า 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 32 ล้านล้านบาท เพื่อปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ทั่วประเทศ
- หลังจากผ่านไป 1 ปี ตัวเลขชาวอเมริกันที่ไม่พึงพอใจกับการทำงานของประธานาธิบดีกลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยสำนักโพล CNBC/Change Research ระบุว่า ชาวอเมริกันถึง 56% ไม่เห็นด้วยในสิ่งที่ประธานาธิบดีกำลังทำ ขณะที่คะแนนความนิยมที่ชาวอเมริกันมีให้กับไบเดนลดลงจาก 46% เมื่อเดือนก.ย. 64 มาอยู่ที่ 44% เท่านั้น
นายโจ ไบเดน เข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 46 เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2564 ท่ามกลางความท้าทายหลายด้าน ทั้งปัญหาวิกฤติความแตกแยกของคนในชาติ เสียงเรียกร้องความเท่าเทียมทางด้านสีผิวและเชื้อชาติ มรสุมโควิด-19 ที่กำลังแพร่ระบาดอย่างหนัก และปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ ตัวเลขคนว่างงานพุ่งสูง
นายไบเดน ประกาศว่า จะนำความเป็นหนึ่งเดียวของชาวอเมริกันให้กลับคืนมา จะเดินหน้าด้วยความรวดเร็ว และเร่งด่วน เพราะมีภารกิจหลายอย่างที่ต้องซ่อมแซม ฟื้นฟู เยียวยา มีหลายอย่างต้องสร้าง และหลายอย่างที่ต้องเพิ่มพูน และน้อยคนนักในประวัติศาสตร์ของประเทศที่จะประสบกับช่วงเวลาที่ยากลำบากและท้าทายมากไปกว่าช่วงเวลานี้ มาถึงวันนี้ผ่านไปครบ 1 ปีเต็ม ผู้นำสหรัฐฯ ทำอะไรไปบ้าง
...
โดยในถ้อยแถลงสุนทรพจน์วันครบรอบ 365 วันในการบริหารประเทศ ประธานาธิบดีไบเดน กล่าวว่า แม้จะเป็นช่วงเวลา 1 ปีแห่งความท้าทาย แต่ก็เป็น 1 ปีที่มีความสำเร็จคืบหน้าไปมาก พร้อมกล่าวถึงผลงานความสำเร็จของรัฐบาลในด้านต่างๆ รวมไปถึงการที่มีชาวอเมริกันฉีดวัคซีนแล้วหลายล้านคน การต่อสู้กับปัญหาคนว่างงานพุ่งสูง และลงนามให้กับร่างกฎหมายที่อนุมัติการใช้งบประมาณมูลค่า 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 32 ล้านล้านบาท เพื่อปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ทั่วประเทศ เช่น การซ่อมแซมถนนและสะพานที่ทรุดโทรม การปรับปรุงบริการรถไฟ การขยายระบบขนส่งสาธารณะ และขยายบริการอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์
ควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
การแก้ปัญหาวิกฤติโควิด-19 เป็นภารกิจสำคัญเร่งด่วนที่สุดของประธานาธิบดีไบเดน ในช่วงตลอด 1 ปีที่ผ่านมา เสาหลักในแผนต่อสู้โควิด-19 ของไบเดนคือ โครงการฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมชาวอเมริกันทั่วประเทศ เฟสแรกคือ 100 ล้านโดสสำหรับช่วง 100 วันแรกในทำเนียบขาว แต่ก็สามารถทำได้สำเร็จในช่วงเพียง 60 วันแรก ซึ่งก็คือวันที่ 20 มี.ค. 64 และล่าสุดสถิติของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค หรือ ซีดีซี ระบุว่า ปัจจุบันมีประมาณ 75% ของประชากรในสหรัฐฯ ที่ได้รับวัคซีนอย่างน้อย 1 เข็ม และประมาณ 63% ได้รับวัคซีนครบโดส 2 เข็ม
เด็กๆ อายุ 5 ปีขึ้นไปสามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนต้านโควิดได้ตั้งแต่เมื่อเดือน พ.ย. 64 มีการจัดสรรวัคซีนบูสเตอร์กว่า 80 ล้านโดสให้กับประชากรกลุ่มเสี่ยง นอกจากนี้ประธานาธิบดีไบเดนสั่งเร่งตรวจหาเชื้ออย่างทั่วถึง มีชุดครวจโควิดฟรีส่งให้ถึงบ้านสำหรับประชาชนที่ลงทะเบียนสั่ง
อย่างไรก็ตาม ภายในปีเดียวสหรัฐฯ ผ่านช่วงเวลาของการแพร่ระบาดรุนแรงมาแล้วถึง 3 ระลอก ดูแล้วเหมือนว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่รัฐบาลทำไม่พอ แต่อยู่ที่การแพร่ระบาดรุนแรงเพิ่มขึ้น และยังมีประชาชนกลุ่มที่ต่อต้านการฉีดวัคซีนในอเมริกาอีกจำนวนมาก
...
เมื่อเดือน ก.ค. 64 ช่วงเวลาแห่งการฉลองวันอิสรภาพ ประธานาธิบดีไบเดน กล่าวสุนทรพจน์ครั้งสำคัญ ประกาศชัยชนะและความเป็นอิสระจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งตอนนั้นหลายคนท้วงติงว่าเป็นการประกาศชัยชนะที่เร็วเกินไป
จนถึงตอนนี้โควิดเชื้อกลายพันธุ์โอมิครอนกำลังแพร่ระบาดอย่างหนักในสหรัฐฯ ทำให้สถานการณ์กลับมารุนแรงอีกรอบ โดยแพทย์ประจำศูนย์คลินิกสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ตอนนี้โรงพยาบาลกลายเป็นสถานที่อันตราย เนื่องจากทำให้มีผู้ป่วยล้นจนเกิดวิกฤติขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์
ขณะที่มีชาวอเมริกันประมาณ 1 ใน 5 ป่วยเป็นโรคโควิด-19 นับตั้งแต่การแพร่ระบาดเริ่มขึ้น และมีชาวอเมริกันถูกโควิดสังเวยชีวิตไปแล้วถึงเกือบ 9 แสนศพ
การแก้ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ ตัวเลขคนว่างงานพุ่งสูง
ตอนที่ประธานาธิบดีไบเดนเข้ารับตำแหน่งใหม่ๆ ชาวอเมริกันต่างคาดหวังว่าเศรษฐกิจจะพลิกฟื้นขึ้นมา หลังจากโควิด-19 ทำพิษหนัก ธุรกิจต่างๆ ต้องปิดตัวลง ร้านค้าต่างๆ ต้องบอกเลิกจ้างพนักงานในช่วงล็อกดาวน์ ชาวอเมริกันตกงานเพิ่มขึ้น
...
ถือว่าช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ไบเดนได้ทำตามสัญญาเรื่องเศรษฐกิจได้ครบ 2 ข้อ นั่นคือ ในช่วง 100 วันแรกประธานาธิบดีไบเดนได้ลงนามร่างกฎหมายฟื้นฟูเศรษฐกิจมูลค่า 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจ่ายให้กับชาวอเมริกันที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ช่วยให้ชาวอเมริกันหลุดพ้นจากความยากจน และอัดฉีดเงินให้กับรัฐบาลท้องถิ่นและหน่วยงานท้องถิ่นต่างๆ และอีกข้อคือ ได้ลงนามให้กับร่างกฎหมายที่อนุมัติการใช้งบประมาณมูลค่า 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 32 ล้านล้านบาท เพื่อปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ทั่วประเทศ
เมื่อปีที่ผ่านมาตัวเลขการจ้างงานในสหรัฐฯ เริ่มกระเตื้องเพิ่มขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง มีตำแหน่งใหม่เพิ่ม 6.4 ล้านคน แม้ว่าโดยรวมจะเป็นตัวเลขที่ยังต่ำ เมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิดแพร่ระบาด แต่ตอนนี้ตัวเลขคนลงทะเบียนว่างงาน ลดลง 3.9% โดยเดือน ธ.ค. 64 ต่ำลงเกือบแตะระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 50 ปี ท่ามกลางปัญหาขาดแคลนแรงงานในบางภาคอุตสาหกรรม ปัญหาราคาน้ำมันเชื้อเพลิง และอัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงที่ยังเป็นปัญหาสำคัญที่รอการแก้ไข
...
ความนิยมในตัว ปธน.ดิ่งลงเรื่อยๆ
ประธานาธิบดีไบเดน เป็นประธานาธิบดีที่เรียกได้ว่าไม่มีช่วงเวลาของการฮันนีมูน เพราะเริ่มงานวันแรกในทำเนียบขาวด้วยภาระที่หนักอึ้ง เขาชนะการเลือกตั้งเข้าสู่ทำเนียบขาวด้วยคะแนนเสียงกว่า 80 ล้านโหวต สูงที่สุดในบรรดาประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทุกคนในอดีตที่ผ่านมา
แต่หลังจากผ่านไป 1 ปี ตัวเลขชาวอเมริกันที่ไม่พึงพอใจกับการทำงานของประธานาธิบดีกลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยสำนักโพล CNBC/Change Research ระบุว่า ชาวอเมริกันถึง 56% ไม่เห็นด้วยในสิ่งที่ประธานาธิบดีกำลังทำ ขณะที่คะแนนความนิยมที่ชาวอเมริกันมีให้กับไบเดนลดลงจาก 46% เมื่อเดือน ก.ย. 64 มาอยู่ที่ 44% เท่านั้น
สำนักโพล RealClearPolitics ระบุว่า ในช่วงต้นเทอมแรกที่เข้ามาบริหารประเทศ ประธานาธิบดีไบเดนมีตัวเลขความนิยมอยู่ที่ 56% แต่ช่วงครึ่งปีแรกตัวเลขเริ่มทรงๆ และมาร่วงลงหนักที่สุดช่วงที่สหรัฐฯ ถอนทหารออกจากอัฟกานิสถานในเดือน ส.ค. 64 ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่มีการแพร่ระบาดอย่างหนักของโควิด-19 กลายพันธุ์ สายพันธุ์เดลตา
นับตั้งแต่ช่วงนั้นเป็นต้นมา คะแนนความนิยมก็ลดลงอีกเรื่อยมา ขณะที่ชาวอเมริกันมองว่า ประธานาธิบดีไบเดนยังทำสิ่งที่สัญญาไว้ตั้งแต่ช่วงเลือกตั้งไม่สำเร็จ โดยเฉพาะเรื่องแก้ปัญหาโควิด-19 และฟื้นฟูคุณภาพชีวิตครอบครัวชนชั้นแรงงานในประเทศ
แม้เทียบกับประธานาธิบดีคนก่อนๆ อย่างอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ร่วงจาก 45% มาอยู่ที่ 35% ภายในช่วงเวลา 1 ปี ในส่วนของอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา คะแนนความนิยมตกลงจากเกือบ 70% มาอยู่ที่เกือบ 50% แต่ก็เรียกได้ว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาอันตรายอย่างยิ่งสำหรับเทอมแรกของประธานาธิบดี ในการที่จะต้องชนะเลือกตั้งกลับมาดำรงตำแหน่งอีกเป็นสมัยที่ 2.
ผู้เขียน : เพ็ญโสภา สุคนธรักษ์