เรื่องจริงที่เกิดขึ้นในสงครามเวียดนาม ที่นักบินนาวีสหรัฐฯ สร้างวีรกรรมด้วย เอฟ-8 จากเรือบรรทุกเครื่องบินเพียงลำเดียว รู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหาง บินหนีจากการถูกรุมกินโต๊ะ มาได้จนรอดจากสงคราม และกลายมาเป็นแบบเรียนที่สำคัญสำหรับนักบินที่ฝึกหลักสูตรท็อปกัน
ในช่วงสงครามเวียดนามในช่วงต้นสงครามกองทัพเรือสหรัฐฯ มีบทบาทอย่างมาก ในการโจมตีทางอากาศต่อเป้าหมายสำคัญในเวียดนามเหนือ โดยเครื่องบินที่นำมาใช้นอกเหนือจากเครื่องบินโจมตีอย่าง เอ-1 สกายเรเดอร์ ที่เป็นเครื่องบินโจมตีใบพัด และ เอ-4 สกายฮอว์ก เครื่องบินโจมตีไอพ่น ที่ประจำบนเรือบรรทุกเครื่องบินแล้ว ยังเป็นสนามรบและสมรภูมิสุดท้ายของ เอฟ-8 ครูเซเดอร์ เครื่องบินขับไล่ครองอากาศความเร็วเหนือเสียงอย่างแท้จริง มันมีเครื่องยนต์เดียว พร้อมกับอาวุธประจำตัว คือ ปืนกลอากาศ 20 มม. 4 กระบอกแบบ โคลต์ Mk.12 จนมันถูกตั้งฉายาในตอนนั้นว่า เดอะ ลาสต์กันไฟต์เตอร์ “The last gunfighter” เพราะหลักนิยมของเครื่องบินขับไล่ยุค 60 สหรัฐฯ จะไม่ติดปืนกับเครื่องบินแต่จะหันมาใช้อาวุธปล่อยนำวิถี หรือ มิสไซล์ ในการรบแทน และการที่เอฟ-8 มีปืน นั่นจึงทำให้มันกลายเป็นยอดเครื่องบินที่ทำการรบกลางอากาศได้ดีและมีอัตราการยิงเครื่องบินของเวียดนามเหนือได้อย่างน่าพอใจ
...
เอฟ-8 ครูเซเดอร์ เดอะ ลาสต์กันไฟต์เตอร์
ทำความรู้จัก พระเอกของเรากันสักหน่อย วอท เอฟ-8 ครูเซเดอร์ (Vought F-8 Crusader) กำหนดเกิดขึ้นจากความต้องการเครื่องบินขับไล่ไอพ่นรุ่นใหม่หลังช่วงสงครามเกาหลีในปี 1952 กองทัพเรือสหรัฐฯ ได้กำหนดความต้องการเครื่องบินขับไล่ที่ทำความเร็วได้ 1.2 มัค ที่ความสูง 30,000 ฟุต และมีอัตราการไต่เพดานบินที่ 25,000 ฟุตต่อนาที และความเร็วขณะลงจอดไม่เกิน 100 ไมล์ต่อชั่วโมง นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงระบบอาวุธประจำเครื่อง ที่ในสงครามเกาหลี ปืนกล .50 คาลิเบอร์ 4 กระบอกที่เคยใช้งานมาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่ตอบโจทย์การรบในยุคไอพ่น และกันมาใช้ปืนกลอากาศ 20 มม. แบบ 4 กระบอกแทนในเครื่องบินขับไล่ของ ทร.สหรัฐฯ ในช่วงสงครามเย็น ยุคทศวรรษที่ 50 ในเวลาต่อมา อาทิ F2H แบนชี, F9F คูการ์, F3D สกายไนท์, F7U คัทลาส และ F4D สกายเรย์ นั่นจึงเป็นที่มาของสมญานาม เดอะ ลาสต์กันไฟต์เตอร์ (The Last of the Gunfighters)
โดยการออกแบบ เอฟ-8 ต้องมีปีกติดอยู่เหนือลำตัว ฐานล้อที่สั้นน้ำหนักเบา โดยเพื่อสนับสนุนการใช้ฐานล้อสั้น จึงมากับปีกที่ปรับองศากระดกขึ้นเหนือลำตัวอีก 7 องศาฯ ได้ เพื่อเพิ่มแรงยกในความเร็วต่ำขณะบินขึ้นและลงจอด เอฟ-8 มากับเครื่องยนต์เทอร์โบเจ็ต แพรทท์แอนด์วิทนีย์ เจ 57 พร้อมอาฟเตอร์เบิร์นเนอร์ หรือ สันดาปท้ายให้แรงขับที่ราวๆ 10,200-16,000 ปอนด์ นั่นทำให้เอฟ-8 เป็นเครื่องบินแบบแรกของกองทัพเรือ ที่ทำความเร็วได้เกิน 1,000 ไมล์ต่อชั่วโมงในปี 1956 ก่อนที่จะเริ่มประจำการครั้งแรกในปี 1957
ส่วนระบบอาวุธ เอฟ-8 ติดตั้งปืนกลอากาศแบบ โคลต์ เอ็มเค-12 ขนาด 20 มม. จำนวน 4 กระบอก และอาวุธปล่อย อากาศ-สู่-อากาศ เอไอเอ็ม 9 ไซด์ไวน์เดอร์ และจรวดไม่นำวิถีแบบพับครีบ Mighty Mouse FFARs : Folding-Fin Aerial Rocket โดยมีการติดตั้งเรดาร์แบบ AN/APQ-83 ด้วย อย่างไรก็ตามไซด์ไวน์เดอร์ ไม่มีความน่าเชื่อถือในการรบช่วงสงครามเวียดนามสักเท่าไร เพราะยิงไปแล้วไม่ค่อยโดนเป้าหมาย ไม่พลาดก็ด้านยิงไม่ออก หรือหลุดร่วงจากเครื่องไปเลย
เรื่องราวอันเป็นที่กล่าวขาน ของฝูงบิน "ผู้หาญดับสุริยา" VF-111 Sundowners
ฝูงบินขับไล่นาวีที่ 111 ซันดาวน์เนอร์ส VF-111 Sundowners ต้นกำเนิดเกิดขึ้นเมื่อช่วงปี 1955 เริ่มต้นจากการเป็นฝูงบินโจมตีที่ 156 Attack Squadron 156 (VA-156) ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็นฝูงบินขับไล่ในปี 1959 ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนเป็นฝูงบินขับไล่ที่ 26 VF-26 ในปี 1964 ก่อนที่จะเปลี่ยนกลับไปฝูงบินขับไล่ที่ 111 อีกครั้ง ในปี 1965 โดยในช่วงยุคทศวรรษที่ 60 ได้นำเอฟ-8 ครูเซเดอร์มาประจำการในหลายรุ่น ทั้ง (F-8C/D/E/H) ประจำการบนเครือบรรทุกเครื่องบินหลายลำทั้ง ยูเอสเอส มิดเวย์ ยูเอสเอส ออริสคานีย์ ยูเอสเอส อินเทอพิด ยูเอสเอส ไทคอนเดอโรกา และ ยูเอสเอส แชงกรี-ลา โดยในช่วงสงครามเวียดนาม ทั้งนี้ในปี 1970 ฝูงบิน VF-111 เป็นฝูงที่สูญเสีย เอฟ-8 ไปในการรบมากที่สุด ก่อนที่จะเปลี่ยนเครื่องบินเป็นเครื่องบินขับไล่ เอฟ-4 บี แฟนทอม ทู ในเวลาต่อมา
...
วีรกรรมที่น่าจดนำจนเป็นที่กล่าวขวัญในครั้งนี้ ไม่ได้เกิดจากการยิงเครื่องบินข้าศึกตกหลายลำจนเป็นการสร้างสถิติ แต่เป็นการใช้ฝีมือในการบินรบติดพันระยะประชิด อันแสนดุเดือดกลางท้องฟ้าเวียดนาม ย้อนกลับไปวันที่ 14 ธ.ค. ปี ค.ศ.1967 ที่ถูกถ่ายทอดโดยนักบินเอฟ-8 ซี ครูเซเดอร์ จากฝูงบิน VF-111 ซันดาวน์เนอร์ส VF-111 Sundowners ในวันนั้นอย่าง เรือโทริชาร์ด "บราวน์ แบร์" ชาฟเฟิร์ต ที่เป็นนักบินประจำเรือบรรทุกเครื่องบิน ยูเอสเอส ออริสคานีย์ CV-34 (CV-34 USS Oriskany) โดยเรื่องนี้ได้นำมาจาก หนังสือ "VF-11/111 ‘Sundowners’ 1942-95" ถูกตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ Osprey พับลิชชิ่ง
...
การรบพันตูกลางเวหาอันแสนดุเดือด
ชาฟเฟิร์ต นำเอฟ-8 คู่ใจบินคุ้มกัน เครื่องบินโจมตี เอ-4 อี สกายฮอว์ก ของเรือตรี ชาร์ลส นีลสัน ที่ทำภารกิจไอรอนแฮนด์ (Iron Hand) เพื่อกดดันระบบต่อต้านอากาศยาน หรือ จรวดแซม-2 (SAM-2 Missile) ของเวียดนามเหนือ โดยการโจมตีด้วย อาวุธปล่อยต่อต้านการแผ่คลื่นเรดาร์ เอไอเอ็ม-45 ชไรค์ ในพื้นที่ระหว่างกรุงฮานอยและเมืองท่าไฮฟอง ทันใดนั้นสายตาของชาฟเฟิรต์ เหลือบไปเห็น มิก-17 เฟรสโก เครื่องบินขับไล่ไอพ่นความเร็วต่ำกว่าเสียงของกองทัพอากาศเวียดนามเหนือ 2 ลำ ทางด้านล่าง
ชาฟเฟิร์ต กดหัวเครื่องลงเริ่มลดระดับจาก 18,000 ฟุต ก่อนที่จะดึงคืนมาที่ระดับ 3,000 ฟุต เขาพยายามมองหานีลสัน แต่เขากลับพบมิก อีก 2 ลำ และเขาคลาดสายตาจาก เอ-4 อี ของนีลสันแล้ว ชาฟเฟิรต์ รู้ตัวแล้วว่าจากนี้เขาต้องพึ่งประสบการณ์ชั่วโมงบินกว่า 3,500 ชั่วโมงที่สั่งสมมา เพื่อเผชิญหน้ากับมิก 4 ลำตามลำพัง เขาดึงเครื่องหักออกด้วยแรงจี 8 จี ทำให้ร่างกายของเขาถูกน้ำหนักกดทับมากกว่า 8 เท่าถาโถมเข้ามา ชุดจีสูทอัดลมบีดรัดเข้าที่ขาและหน้าท้อง ป้องกันเลือดไหลลงไปที่เท้าอันจะทำให้เขาหมดสติ เขาเข้าเผชิญหน้ากับมิก แต่มิก 17 ลำแรกที่มาเร็วเกินไปทำให้บินเลยไปไม่สามารถยิงเขาได้ และ ชาฟเฟิร์ต ก็รู้ว่าสิ่งที่เขาควรทำคือ การสู้ในแนวดิ่ง เพราะ เอฟ-8 ไม่สามารถบินเลี้ยว พลิ้วไหวได้เหมือนมิก-17
...
อาวุธดีแค่ไหนถ้ายิงไม่ออก มันก็ คือ สากกะเบือ
เมื่อมิก 4 ลำบินสลับกันไปมา ทั้ง 2 ด้าน ชาฟเฟิร์ต จึงเริ่มใช้ท่าทางการบินแบบโยโย่ เพื่อบินตัดเข้าวงในสู้กับเครื่องบินที่วงเลี้ยวแคบกว่า พร้อมใช้อาฟเตอร์เบิร์นเนอร์เพิ่มความเร็ว อันเป็นข้อได้เปรียบเดียวที่เอฟ-8 มี เพื่อหาโอกาสไปอยู่ในจุดที่ได้เปรียบมิก เพื่อให้โอกาสการสู้แบบ 2 ต่อ 1 ทันใดนั้น เอฟ-8 ของเขาก็ไปอยู่หลังเครื่องบินมิก หูได้ยินสัญญาณ "อ่อออออ...อ่อ.......ออ" ที่เป็นสัญญาณล็อกเป้าของจรวดนำวิถีด้วยความร้อนแบบไซด์ไวน์เดอร์ แต่มิก 17 อีกลำก็พยายามยิงเขาด้วยปืนกล ทำให้เขาต้องทำท่าโยโย่อีก 3 รอบก่อนจะได้จังหวะสับไกยิง ไซด์ไวน์เดอร์ออกไป แต่จรวดเจ้ากรรมมันไม่ระเบิด ตอนนี้เขาเหลือมิสไซล์ไซด์ไวน์เดอร์แค่ 2 ลูกจาก 4 ลูกที่ติดมา โดยลูกแรกขัดข้องตั้งแต่บินออกจากเรือ
ชาฟเฟิร์ต พลิกเครื่องกลับ พร้อมดึงเครื่องแบบไฮจีเพื่อเอาชนะมิกที่รัศมีวงเลี้ยวแคบกว่า เขายิงไซด์วายเดอร์ออกไปอีกลูก จรวดพุ่งไต่ความร้อนไปแต่กลับไม่ระเบิด เวลานี้ เขาเจอจรวดด้านไป 3 ลูกแล้ว ทันใดนั้นมิก-21 อีก 2 ลำยิงอาวุธปล่อยแบบนำวิถีด้วยความร้อนแบบ K-13 หรือ เอเอ-2 อะตอล ตามรหัสนาโต้ ใส่เขา 2 ลูก แต่ว่าขีปนาวุธทั้งหมดพลาดเป้าไป เนื่องจากมิก-21 ยิงมิสไซล์ จากนอกระยะล็อกเป้า ตอนนี้ ชาฟเฟิร์ต พบว่าเขามีโอกาสอีกรอบที่จะเด็ดปีกมิกด้วยไซด์ไวน์เดอร์ลูกสุดท้าย แต่เวรกรรมอะไรก็ไม่รู้ระบบนำวิถีของไซด์ไวน์เดอร์เกิดขัดข้อง ทำให้ยิงไม่ได้ ตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับการพกสากกะเบือมา ทำเขาต้องเผชิญหน้ากับข้าศึกด้วย ปืนกลอากาศ 20 มม. 4 กระบอก พร้อมกระสุนกระบอกละ 250 นัดเท่านั้น
เขาดึงเครื่องบิน เอฟ-8 เลี้ยวด้วยแรง 5จี เข้าหาเครื่องมิกเพื่อบินตามไปยิง ทันทีที่เขาเหนี่ยวไก ปืนกล 20 มม. ก็มีเสียงดัง แชะ... โอ้มายก้อด อาวุธที่เหลือเพียงหนึ่งเดียวก็ดันมาเกิดขัดลำเอาตอนนาทีเป็นนาทีตาย โดยปัญหานี้เป็นปัญหากวนใจของนักบินเอฟ-8 เมื่อต้องบินด้วยแรงจีสูง แรงจีสูงๆ ทำให้ระบบป้อนกระสุนนิวเมติกทำให้ขัดข้อง ตอนนี้เขามีแขกมาร่วมวงเพิ่มอีก 2 ลำ มิก-21 ฟิชเบด เครื่องบินขับไล่ไอพ่นความเร็วเหนือเสียงของ ทอ.เวียดนามเหนือ บินเข้ามาร่วมหวังจะรุมกินโต๊ะเขา และยิงขีปนาวุธอากาศ-สู่-อากาศแบบ เอเอ-2 มาอีก 2 นัด แต่เขาก็สามารถดึงเครื่องหลบได้
เก่งแค่ไหน เมื่อทำอะไรเขาไม่ได้ก็ควรหนี
เวลานี้เขาเจอกับมิก 6 ลำ สิ่งที่เขาควรทำในขณะที่ยังไม่โดนยิง คือ การบินหนี สู้ไม่ได้ต้องหนี บราวน์แบร์ เริ่มรูปแบบการบินใหม่ ด้วยการทำท่าบินโยโย่ในความสูงที่สูงกว่า และเขาพันตูกับเครื่องจ่าฝูงโดยการบินสลับซ้ายขวาไปมา และเมื่อเขาสามารถทิ้งห่างจากมิกได้ เมื่อเครื่องบินมาจนถึงด้านล่างสุด เขาก็ดึงเครื่องขึ้นแล้ว อัดความเร็วเต็มที่ออกไปทางชายฝั่ง โดยทิ้งศัตรูทั้ง 6 ลำไว้เบื้องหลัง มุ่งหน้ากลับเรือบรรทุกเครื่องบิน ยูเอสเอส ออริสคานีย์ ได้อย่างปลอดภัย ในสภาพที่น้ำมันแทบจะแห้งหมดถัง
แม้ว่าเรื่องราวของ บราวน์แบร์ (ชาฟเฟิร์ต) เขาไม่สามารถยิงเครื่องบินข้าศึกได้สักลำเลย แต่เขากลับได้ทิ้งบทเรียนสำคัญ ในการเอาตัวรอดเมื่อต้องสู้รบพันตูกลางอากาศ (ด็อกไฟต์) กับมิก 6 ลำด้วยตัวคนเดียว เป็นเนื้อหาเลคเชอร์สำคัญสำหรับนักบินรุ่นน้องๆ ในเวลาต่อมา เอาไว้ให้กับครูการบินของหลักสูตร ท็อปกัน (TOPGUN) หรือ Fighter Weapons School อันเป็นโรงเรียนสอนหลักสูตรการรบทางอากาศ โดยเฉพาะการรบด็อกไฟต์ เพื่อเสริมทักษะให้กับนักบินรบกองทัพเรือได้มีทักษะในการรบทางอากาศที่มากกว่าเดิม โดยนำบทเรียนมาจากเหล่านักบินขับไล่ที่ผ่านศึกสงครามจริงๆ โดยในช่วงแรกโรงเรียน TOPGUN อยู่ที่ฐานบินนาวี มิรามาร์ เมืองซาน ดิเอโก รัฐแคลิฟอร์เนีย
ในการรบทางอากาศนอกจากการยิงเครื่องบินข้าศึกตก หรือ การได้รับชัยชนะจะได้รับการยกย่องแล้ว อีก 1 หนึ่งสิ่งที่ส่วนตัวผู้เขียนมองว่ามีความสำคัญไม่แพ้กัน คือ การเอาตัวรอดกลับมาจากสนามรบอย่างปลอดภัย ก็เป็นอีก เรื่องที่น่ายกให้เป็นเรื่องที่น่ายินดี รวมไปถึงการนำทักษะ และเทคนิค รบติดพันกลางอากาศมาใช้ เพื่อเอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่คับขัน เสียเปรียบถูกข้าศึกรุม 6 ต่อ 1 ชัยชนะที่งดงาม คือ การเอาตัวรอดกลับมาจากสมรภูมิ เพื่อเป็นบทเรียนสำคัญให้กับ นักบินรุ่นหลังจะได้รับมือกับสถานการณ์ และเอาตัวรอดในการรบที่เสียเปรียบต่อไป.
ผู้เขียน : จุลดิส รัตนคำแปง
ที่มาของข้อมูลและภาพประกอบ : Wikipedia Vought F-8 Crusader , theaviationist , theaviationgeekclub
ภาพถ่าย เอฟ-8 ครูเซเดอร์ บน ยูเอสเอสมิดเวย์ และ ในพิพิธภัณฑ์โดย จุลดิส รัตนคำแปง