อดีตเจ้าหญิงมาโกะ พร้อมสามี ออกเดินทางจากบ้านเกิดเมืองนอน มุ่งหน้าไปตั้งรกรากที่สหรัฐอเมริกาแล้ว หลังฝ่าฟันอุปสรรคความรักและกระแสสังคมที่ต่อต้านการครองรักของทั้งคู่มายาวนานหลายปี
มาโกะ โคมุโระ หรือ อดีตเจ้าหญิงมาโกะ พระธิดาในเจ้าชายฟุมิฮิโตะ มกุฎราชกุมาร และเจ้าหญิงคิโกะ มกุฎราชกุมารี ที่สละฐานันดรศักดิ์ เพื่อสมรสกับชายสามัญชน ออกเดินทางจากท่าอากาศยานนานาชาติฮาเนดะ ในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ด้วยเที่ยวบินของสายการบินออล นิปปอน แอร์เวย์ส พร้อมด้วย นายเคอิ โคมุโระ สามี มุ่งสู่ท่าอากาศยานนานาชาติเจเอฟเค ในนครนิวยอร์กของสหรัฐฯ เพื่อตั้งต้นชีวิตใหม่
ทั้งสองจดทะเบียนสมรสกัน เมื่อวันที่ 26 ต.ค.ที่ผ่านมา หลังหมั้นหมายมาตั้งแต่ปี 2560 แต่งานแต่งงานถูกเลื่อนมาหลายปี เนื่องจากกระแสสังคมที่ยังไม่ยอมรับภูมิหลังของฝ่ายชาย โดยในพิธีแต่งงานอย่างเรียบง่ายอดีตเจ้าหญิงมาโกะทรงปฏิเสธรับเงินก้อนจากราชสำนัก มูลค่า 150 ล้านเยน หรือ ราว 42.61 ล้านบาท ที่เป็นการมอบให้ตามธรรมเนียม เมื่อสมาชิกสตรีในราชวงศ์ต้องสละฐานันดรศักดิ์ จากการสมรสกับชายซึ่งเป็นสามัญชน
...
นายเคอิ โคมุโระ จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยกฎหมาย ฟอร์ดแฮม แต่เขายังสอบเนติบัณฑิต หรือ Bar Exam ในอเมริกายังไม่ผ่าน ซึ่งประเด็นนี้ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่สื่อท้องถิ่นในญี่ปุ่นหยิบมาโจมตีเขา นอกเหนือจากประเด็นที่เขาแต่งงานกับเจ้าหญิงมาโกะเพื่อหวังเงินและชื่อเสียง แม้ว่าจะเป็นเรื่องปกติที่คนส่วนใหญ่จะต้องสอบหลายครั้งเพื่อผ่านการทดสอบก็ตาม โดยนายเคอิ โคมุโระ ซึ่งมีอายุ 30 ปีเท่ากันกับอดีตเจ้าหญิงมาโกะ ได้งานที่บริษัทกฎหมายแห่งหนึ่งในนครนิวยอร์ก ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทั้งคู่ย้ายไปอยู่ที่สหรัฐฯ
ก่อนหน้านี้ เจ้าหญิงหลายพระองค์ของราชวงศ์ญี่ปุ่นต่างก็แต่งงานกับสามัญชน และสละฐานันดรศักดิ์เช่นกัน แต่กรณีของเจ้าหญิงมาโกะได้รับความสนใจจากประชาชนจำนวนมาก และมีกระแสคัดค้านอย่างรุนแรงทั้งในโลกโซเชียลและหนังสือพิมพ์แทบลอยด์ จนอดีตเจ้าหญิงมาโกะป่วยเป็นโรคเครียด และต้องใช้ความอดทนอย่างมากกว่าที่ทั้งคู่จะได้ลงเอยแต่งงานกัน โดยแม้อดีตเจ้าหญิงมาโกะจะสละฐานันดรศักดิ์แล้ว แต่เรื่องราวของเธอก็ยังเป็นที่สนใจ และยังคงมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาว่า คู่รักทั้งสองจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ในสหรัฐฯได้อย่างสุขสบายหรือไม่ หากต้องให้ นายเคอิ โคมุโระ เป็นคนทำงานหาเลี้ยง และหากนายโคมุโระมีรายได้ไม่เพียงพอ ก็คงไม่พ้นที่เจ้าหญิงมาโกะจะต้องเป็นคนออกเงินช่วยเหลือค่าใช้จ่ายให้แก่สามีของเธออยู่ดี.
ที่มา : ยูเอสนิวส์ดอทคอม