โน แท-อู อดีตประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ผู้สนับสนุนการรัฐประหารในปี 2522 ก่อนชนะการเลือกตั้งอย่างเป็นประชาธิปไตย และจบชีวิตการเมืองในคุก เสียชีวิตแล้วขณะมีอายุได้ 88 ปี

สำนักข่าว เอพี รายงานว่า นาย คิม ยอน-ซู ประธานโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแห่งชาติกรุงโซล เปิดเผยในงานแถลงข่าวเมื่อวันอังคารที่ 26 ต.ค. 2564 ว่า โน แท-อู อดีตประธานาธิบดีเกาหลีใต้ในช่วงปี พ.ศ. 2531-2536 ถึงแก่อสัญกรรมแล้ว ด้วยภาวะแทรกซ้อนจากอาการเจ็บป่วยหลายอย่าง โดยอาการเขาทรุดลงขณะรับการรักษาโรคเสื่อมสภาพของเนื้อเยื่อ (degenerative disorder)

ทั้งนี้ นายโนมีบทบาทสำคัญอย่างมากในการก่อรัฐประหารของกองทัพเมื่อธันวาคมปี 2522 ซึ่งทำให้นาย ชอน ดู-ฮวาน เพื่อนสนิทของเขาในกองทัพและผู้นำรัฐประหาร ได้เป็นประธานาธิบดี และนำไปสู่เหตุ ‘สังหารหมู่ที่กวางจู’ ในปีต่อมา ซึ่งกองทัพลงมือปราบปรามผู้ประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยในเมืองกวางจู จนมีผู้เสียชีวิตกว่า 200 ศพ

นายโนยังเป็นผู้สืบทอดที่นายชอนเลือกเองกับมือ ซึ่งจะทำให้เขาได้ตำแหน่งประธานาธิบดีโดยไม่ต้องมาจากการเลือกตั้งโดยตรง แต่การลุกฮือของประชาชนในปี 2530 บีบให้นายชอนกับนายโนยอมจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีโดยตรง และเหตุการณ์นี้ถูกยกเป็นจุดเริ่มต้นการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยของเกาหลีใต้

ระหว่างการหาเสียง นายโนพยายามสร้างภาพลักษณ์ตัวเองเป็นคนอ่อนโยนและเป็นกลาง พร้อมกับเรียกตัวเองว่าเป็นคนธรรมดา และในที่สุดก็ชนะการเลือกตั้งในเดือนธันวาคมปีเดียวกัน แต่เหตุผลส่วนใหญ่เป็นเพราะผู้แทน 2 คนจากฝ่ายค้านแตกแยกกันและชิงคะแนนกันเอง

...

ตลอดการดำรงตำแหน่ง 5 ปี นายโนพยายามอย่างหนักในการสร้างความสัมพันธ์กับชาติคอมมิวนิสต์เป็นครั้งแรก หลังจากต่อต้านมาตลอดเนื่องจากกรณีของเกาหลีเหนือ โดยสร้างความสัมพันธ์กับสหภาพโซเวียตในปี 2533 และกับ จีน ในปี 2535 ความสัมพันธ์กับเกาหลีเหนือก็ดีขึ้นในยุคของนายโนเช่นกัน ถึงขั้นสามารถจัดการประชุมระหว่างนายกรัฐมนตรีทั้ง 2 ฝ่ายได้เป็นครั้งแรก มีแถลงการณ์สำคัญเรื่องการลดอาวุธนิวเคลียร์ในคาบสมุทรเกาหลี และทั้งคู่ก็ได้เข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติพร้อมกันในปี 2534

หนึ่งในผลงานที่เป็นที่จดจำที่สุดของนายโนคือ การเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อนที่กรุงโซลในปี 2531 ซึ่งเป็นการแข่งโอลิมปิกครั้งสุดท้ายในช่วงสงครามเย็น

อย่างไรก็ตาม นายโนถูกหลายฝ่ายมองว่าเป็นประธานาธิบดีที่ขาดเสน่ห์และความแข็งกร้าวของผู้นำ และต้องเผชิญวิพากษ์วิจารณ์ทางการเมืองมากกว่ายุคของประธานาธิบดีคนก่อน ซึ่งมักใช้กฎหมายความมั่นคงกดดันฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองและจำกัดเสรีภาพในการแสดงออก โดยอ้างเรื่องความสงบเรียบร้อยทางสังคมและภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือ

ในยุคของ คิม ยอง-ซัม ประธานาธิบดีคนต่อมาของเกาหลีใต้ เขาสั่งให้มีการสืบสวนเรื่องการก่อรัฐประหารในปี 2522 และการปราบปรามประชาชนของกองทัพ ทำให้นายโนถูกจับกุม และถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหา ก่อจลาจล, กบฏ กับคอร์รัปชัน ต้องรับโทษจำคุก 22 ปี 6 เดือน ส่วนนายชอนถูกตัดสินประหารชีวิต แต่ในปี 2540 ทั้งคู่ก็ถูกปล่อยตัวหลังจากถูกคุมขังเพียง 2 ปี เนื่องจากได้รับการอภัยโทษพิเศษจากประธานาธิบดี คิม แท-ชอง ซึ่งกำลังต้องการความปรองดองในชาติท่ามกลางวิกฤติการเงินในเอเชีย

หลังจากได้รับการปล่อยตัว นายโนก็หายไปจากสายตาของสังคม หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมทางการเมืองมาตลอด จนในช่วงบั้นปลาย เขาถูกวินิจฉัยว่ามีอาการป่วยหลายอย่าง ทั้งมะเร็งต่อมลูกหมาก, หอบหืด, สมองฝ่อ และอีกหลายอย่าง.