ประธานาธิบดี โจ ไบเดน เรียกร้องให้นานาชาติร่วมมือกัน ที่การประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติครั้งแรกของเขา ท่ามกลางความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ กับชาติพันธมิตร

สำนักข่าว บีบีซี รายงานว่า โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ร่วมการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UNGA) ครั้งที่ 76 ที่นครนิวยอร์ก เมื่อวันอังคารที่ 21 ก.ย. 2564 ท่ามกลางสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 และวิกฤติสภาพอากาศ ซึ่งทำให้ความแตกแยกของโลกเด่นชัดยิ่งขึ้น

ในการประชุมดังกล่าวซึ่งถือเป็นครั้งแรกของเขา นายไบเดนยืนยันว่า ตัวเขาสนับสนุนประชาธิปไตยและวิธีทางการทูต หลังสหรัฐฯ เพิ่งทำข้อตกลงสร้างเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ให้ออสเตรเลีย จนทำให้ฝรั่งเศสและสหภาพยุโรปไม่พอใจ ไบเดนยังเรียกร้องให้ทั่วโลกร่วมมือกันเพื่อก้าวผ่านช่วงเวลา 10 ปีอันแสนสำคัญสำหรับโลกของเรา

“เราต้องทำงานร่วมกันอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน” ไบเดนกล่าว “เราจะเลือกต่อสู้เพื่อแบ่งปันอนาคตร่วมกันหรือไม่ จะมีผลสะท้อนกลับถึงคนรุ่นต่อๆ ไป พูดง่ายๆ ก็คือ ในมุมมองของผม เรากำลังยืนอยู่บนจุดพลิกผันในประวัติศาสตร์”

ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เน้นย้ำด้วยว่า สหรัฐฯ ไม่ได้ต้องการทำให้เกิดสงครามเย็นครั้งใหม่ หรือแบ่งแยกโลกเป็นกลุ่มก้อน พวกเขาพร้อมทำงานร่วมกับประเทศใดก็ตามที่ก้าวออกมา เพื่อค้นหาทางออกอย่างสันติในจุดที่มีความท้าทายร่วมกัน หรือแม้แต่เรื่องอื่นๆ ที่เรามีความเห็นไม่ตรงกันอย่างรุนแรง

คำพูดของนายไบเดนดูเหมือนจะเป็นการตอบสนองต่อการเรียกร้องของนายอันโตนิโอ กูเตร์เรส เลขาธิการใหญ่สหประชาชาติ ซึ่งเตือนเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ว่า สหรัฐฯ กับจีนกำลังก้าวสู่ภาวะสงครามเย็นที่แตกต่างจากเมื่อครั้งอดีต และอาจอันตราย รวมทั้งจัดการยากกว่าเดิม

...

นายไบเดนยังพูดกรณีการถอนทหารออกจากอัฟกานิสถานอย่างสับสนอลหม่านของกองทัพสหรัฐฯ ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากทั้งในและนอกประเทศ โดยระบุว่า สหรัฐฯ ยุติช่วงเวลาสงครามอันทรหด เพื่อยุคใหม่ทางการทูต

ผู้นำสหรัฐฯ ให้คำมั่นสัญญาเรื่องงบประมาณเพื่อต่อสู้กับวิกฤติสภาพอากาศ โดยสหรัฐฯ จะเพิ่มงบฯ สำหรับประเทศกำลังพัฒนาขึ้นอีกเท่าตัวเป็น 1.14 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2567 ซึ่งคิดเป็นราว 1 ใน 10 ของจำนวนเงินทั้งหมด 1 แสนล้านดอลลาร์ ที่ชาติพัฒนาประกาศจะมอบให้ชาติยากจนทุกปี เพื่อแก้ปัญหาสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง

ก่อนที่นายไบเดนจะจบการแถลงในเวทีโลกครั้งแรกของเขาด้วยคำสัญญาว่า สหรัฐฯ จะเป็นผู้นำพร้อมกับชาติพันธมิตร “เราจะเป็นผู้นำในทุกความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคสมัยของเรา ตั้งแต่โควิดจนถึงสภาพอากาศ, เกียรติและสิทธิมนุษยชน แต่เราจะไม่ก้าวไปคนเดียว”.