จีน-อาเซียนได้เห็นพ้องต้องกันในเนื้อหาส่วนหนึ่งของแนวปฏิบัติในทะเลจีนใต้ ในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศแบบเสมือนจริงเมื่อวันที่ 3 ส.ค.หลังจากพูดคุยกันมานานตั้งแต่ตกลงร่างกรอบการใช้ระเบียบปฏิบัติดังกล่าวในการประชุมที่เมืองกุ้ยหยางของจีนเมื่อปี 2560 โดยได้เห็นชอบในบทนำที่ระบุว่า “เป็นการแสดงให้เห็นอีกครั้งว่าตราบใดที่ร่วมกันเดินหน้าด้วยการปรึกษาหารือกัน จะไม่มีปัญหาใดๆขวางทางเราได้ ไม่ว่าจะเป็นโรคระบาดที่ลุกลามหรือการแทรกแซงจากภายนอก”

ที่ผ่านมาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้เป็นเวทีแข่งขันกลยุทธ์สำคัญระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา โดยทั้งสองฝ่ายต่างเร่งทำคะแนนช่วงชิงบทบาทสำคัญในภูมิภาค โดยนายหวัง อี้ รมว.ต่างประเทศของจีนกล่าวว่าจีนจะไม่อ้างสิทธิ์ในทะเลจีนใต้อีกและสัญญาจะไม่เคลื่อนไหวเพียงฝ่ายเดียวที่จะยิ่งทำให้ข้อพิพาทเรื่องน่านน้ำรุนแรงขึ้นไป แต่ขณะเดียวกันก็ต้องระมัดระวังการยั่วยุและแทรกแซงจากชาติอื่นนอกภูมิภาคที่จะทำให้เกิดความบาดหมางกันระหว่างจีนและกลุ่มประเทศอาเซียน ทำลายสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาคได้

รมว. ต่างประเทศของจีนยังกล่าวว่าในฐานะเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิด จีนมุ่งมั่นที่จะยืนหยัดเคียงข้างประเทศอาเซียนต่อสู้กับการระบาดครั้งใหญ่ของโควิด-19 จนถึงขณะนี้จีนได้จัดหาวัคซีนป้องกันโควิด-19 ไปแล้วกว่า 190 ล้านโดสให้กับภูมิภาคนี้ รวมถึงวัสดุอุปกรณ์และเวชภัณฑ์จำนวนมากสำหรับการต่อสู้กับโรคระบาด ด้าน รมว.ต่างประเทศของ 10 ประเทศอาเซียนก็ได้กล่าวแสดงความขอบคุณต่อจีน ซึ่งเป็นประเทศแรกที่ให้ความช่วยเหลือด้านวัคซีนแก่ภูมิภาค โดยทั้งสองฝ่ายยังตกลงจะปรับปรุงการแบ่งปันข้อมูลและการสื่อสารเรื่องนโยบายวัคซีน

เมื่อสัปดาห์ก่อน พล.อ.ลอยด์ ออสติน เป็น รมว.กลาโหมคนแรกจากรัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ ที่มาเยือนภูมิภาคนี้ ตามด้วยนางคามาลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่มีกำหนดเยือนสิงคโปร์และเวียดนาม และยังเป็นรองประธานาธิบดีสหรัฐฯเพียงคนเดียวที่ไปเยือนเวียดนามอีกด้วย เพื่อประกาศนโยบาย “อเมริกากลับมาแล้ว” เรียกคะแนนสนับสนุนจากอาเซียน ต้านอิทธิพลจีนและย้ำแนวทางการค้าเสรีทั่วทั้งทะเลจีนใต้

...

ก่อนหน้านี้นายแอนโทนี บลิงเคน รมว.ต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ประกาศการเริ่มต้นการเจรจาทางยุทธศาสตร์กับอินโดนีเซีย ร่วมกับกับนางเรตโน มาร์ซูดี รมว.ต่างประเทศของอินโดนีเซีย ที่กรุงวอชิงตัน มุ่งมั่นทำงานใกล้ชิดเพื่อต่อสู้กับโควิด-19 กระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ และปกป้องเสรีภาพในการเดินเรือในทะเลจีนใต้.