เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา สิ่งที่หลายคนอยากได้ ก็มาถึงประเทศไทยแล้ว คือวัคซีนของไฟเซอร์จำนวน 1,503,450 โดส ด้วยน้ำใจของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ประเทศต้นทางการผลิต
กรณีนี้ทีมข่าวไทยรัฐ กรุ๊ป ได้มีโอกาสพูดคุยกับ ไมเคิล ฮีธ อุปทูตรักษาการแทนเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำประเทศไทย ที่มีความกังวลต่อสถานการณ์แพร่ระบาดที่กำลังเป็นไป โดยเฉพาะการลุกลามของเชื้อกลายพันธุ์ตัวอันตราย “เดลตา” ซึ่งสหรัฐฯก็กำลังเผชิญอยู่เหมือนกับไทย
ท่านทูตชี้แจงกับพวกเราว่า ในเรื่องการบริจาคนั้น สหรัฐฯประเมินจากสถานการณ์ในประเทศนั้นๆ อัตราการติดเชื้อเป็นเช่นไร จำนวนผู้เสียชีวิต ระบบโครงสร้างสาธารณสุขเป็นเช่นไร สิ่งเหล่านั้นคือตัวตัดสิน และก็ขอยืนยันว่า รัฐบาลสหรัฐฯจะมอบวัคซีนให้รัฐบาลไทยเพิ่มอีกประมาณ 1 ล้านโดส รวมเป็นทั้งหมดกว่า 2.5 ล้านโดส แต่สำหรับเรื่องว่าส่วนต่างจะมาเมื่อไรยังให้คำตอบไม่ได้ ทั้งพร้อมพิจารณาเรื่องการบริจาคเพิ่มเติมกันอยู่
กว่า 60 ปีที่สหรัฐฯและไทยได้ผนึกกำลังรับมือ และทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาอย่างเข้มข้นตั้งแต่ปีที่แล้ว ซึ่งรวมไปถึงการส่งมอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ต่างๆ การเตรียมความพร้อม ไปจนถึงด้านวิชาการอย่างเรื่อง ความร่วมมือระหว่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกับมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ในการพัฒนาวัคซีนประเภท mRNA ร่วมกัน ตลอดจนช่วยเหลือผู้พลัดถิ่นตามแนวชายแดน
เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ปีก่อนสหรัฐฯเองก็เผชิญกับสถานการณ์วิกฤติ เกิดการระบาดอย่างรุนแรง พลเมืองล้มตายกว่า 5 แสนคน จึงทำให้ทุกอย่างเกิดความล่าช้า แต่ตอนนี้เหตุการณ์เริ่มเปลี่ยน จึงอยากกลับมาช่วยเหลืออีกครั้ง โดยเฉพาะไทยและภูมิภาคนี้ เพื่อให้พลเมืองปลอดภัย ตลอดจนฟื้นฟูเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็ว
...
และแน่นอนการบริจาควัคซีนครั้งนี้ เป็นการให้เปล่า มอบน้ำใจแบบไม่มีเงื่อนไขใดๆ ขึ้นอยู่กับรัฐบาลไทยจะนำไปจัดสรร แต่เราก็ประสานถึงเรื่องความสำคัญของบุคลากรด่านหน้า ผู้สูงอายุ ส่วนเรื่องวัคซีนอะไรดีที่สุดนั้น ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญที่จะให้คำตอบได้ แต่รับประกันวัคซีนจากสหรัฐฯว่าผ่านการตรวจสอบหลายขั้นตอน
“สิ่งสำคัญที่สุด คือทุกคนควรเข้ารับการฉีดวัคซีน เพราะจะไม่มีใครปลอดภัย จนกว่าทุกคนจะปลอดภัยครับ” ท่านทูตไมเคิล ฮีธ กล่าวทิ้งท้าย.
ตุ๊ ปากเกร็ด