นโยบายของสวิตเซอร์แลนด์ในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ “ถูกคว่ำ” โดยผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวสวิสที่ “ปฏิเสธ” มาตรการสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม 3 ข้อในการลงประชามติ เมื่อ 13 มิ.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งรวมถึงกฎหมายฉบับใหม่ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยให้ประเทศบรรลุเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ภายใต้ข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
กฎหมาย CO2 ฉบับใหม่ถูกผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเสียงคัดค้าน 51.6% ในการลงประชามติทั่วประเทศ นำมาซึ่ง ความพ่ายแพ้ของรัฐบาลสวิสที่พยายามสนับสนุนกฎหมายใหม่ซึ่งรวมถึงมาตรการต่างๆ เช่น การเพิ่มค่าธรรมเนียมน้ำมันรถยนต์ และการเรียกเก็บภาษีตั๋วเครื่องบิน ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยให้สวิตเซอร์แลนด์สามารถบรรลุเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงเหลือครึ่งหนึ่งของปี 2533 ภายในปี 2573 โดยใช้พลังงานหมุนเวียน ร่วมกับการเก็บภาษีเชื้อเพลิงฟอสซิล
การปฏิเสธของผู้มีสิทธิเลือกตั้งครั้งนี้ทำลายแผนของสวิตเซอร์แลนด์ในการปฏิบัติตามข้อตกลงปารีส และต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่ เนื่องจากยังล้าประเทศเพื่อนบ้านในความพยายามจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ขณะที่นักวิเคราะห์มองว่า ชาวสวิสที่โดยทั่วไปมีความภาคภูมิใจในนโยบายที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของตนเองมีความกังวลต่อความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ ในระหว่างที่กำลังฟื้นตัวจากวิกฤติโควิด-19
รัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมสวิตเซอร์แลนด์ กล่าวว่า การคัดค้านในครั้งนี้จะทำให้การบรรลุ เป้าหมายของสวิตเซอร์แลนด์เป็นภารกิจที่ “ยากมาก” ส่วนฝ่ายค้านกลับโต้ว่าสวิตเซอร์แลนด์มีความรับผิดชอบในการปล่อยมลพิษทั่วโลกเพียง 0.1% และยังแสดงความสงสัยว่านโยบายดังกล่าวจะช่วยสิ่งแวดล้อมได้อย่างไร
...
นอกจากนี้ ชาวสวิสมากกว่า 60% ยังปฏิเสธข้อเสนอที่จะทำให้สวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศที่ 2 ในโลกที่ห้ามไม่ให้ใช้ยาฆ่าแมลงสังเคราะห์โดยสิ้นเชิง และยังปฏิเสธข้อเสนอเพื่อลดการใช้ โดยเปลี่ยนไปให้เงินอุดหนุนแก่เกษตรกรที่ไม่ใช้สารเคมีต่อไป โดยฝ่ายที่สนับสนุนอ้างว่าสารกำจัดศัตรูพืชเชื่อมโยงกับความเสี่ยงต่อสุขภาพ ขณะที่อีกฝ่ายก็แย้งว่าการห้ามใช้สารกำจัดศัตรูพืชจะทำให้อาหารมีราคาแพงขึ้น และยังต้องพึ่งพาการนำเข้ามากขึ้นอีกด้วย.
อมรดา พงศ์อุทัย