มีงานวิจัยเผยแพร่ในวารสาร Scientific Reports เมื่อเร็วๆนี้ว่าทีมวิจัยจากศูนย์วิจัยสังคมและวัฒนธรรม แห่งมหาวิทยาลัยกริฟฟิธ ในออสเตรเลีย เสนอข้อมูลว่าการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิและความชื้นที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ฝนตกตามฤดูกาลและความแห้งแล้งสลับกัน ได้สร้างปฏิกิริยาบางอย่างที่ส่งเสริมการก่อตัวของผลึกเกลือและนำไปสู่การกัดกร่อนย่อยสลายของหิน ซึ่งที่น่ากังวลก็คือหากหินนั้นอยู่ในแหล่งโบราณคดีเก่าแก่
แต่สิ่งที่น่ากังวลก็คืบคลาน เข้ามาแล้ว เมื่อมีรายงานว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจเร่งการเสื่อมโทรมของภาพวาดหินโบราณสีแดงและสีน้ำตาลแดงคล้ายสีของผลมัลเบอร์รี อายุระหว่าง 20,000-45,000 ปีในถ้ำ 11 แห่งที่ Maros-Pangkep ในอินโดนีเซีย รวมถึงลวดลายฉลุด้วยมือที่เก่าแก่ที่สุดในโลกอายุประมาณ 39,900 ปีก่อน กลุ่มนักวิจัยการวิเคราะห์สะเก็ดหินที่เริ่มหลุดออกจากพื้นผิวถ้ำ โดยพบเกลือซึ่งรวมถึงแคลเซียมซัลเฟตและโซเดียมคลอไรด์ใน เกล็ดหินที่แหล่งโบราณคดี 3 แห่ง สารเหล่านี้ก่อตัวเป็นผลึกบนพื้นผิวหิน ทำให้หินแตกออกจากกัน และยังพบกำมะถันในระดับสูง อันเป็นส่วนประกอบของเกลือหลายชนิดที่แหล่งโบราณคดีทั้งหมด 11 แห่ง
นักวิจัยเสนอแนวคิดว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อาจถูกเร่งมาจากอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น ตอกย้ำด้วยความถี่และความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นของเหตุการณ์สภาพอากาศที่รุนแรงอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและเหตุการณ์เอลนีโญ ดังนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีการเฝ้าติดตามและอนุรักษ์ในระยะยาวเพื่อปกป้องศิลปะหินโบราณในเขตร้อนชื้น.
ภาพ Credit : The Griffith Centre for Social and Cultural Research, Griffith Unviversity