สถานการณ์สู้รบระหว่างกองทัพเมียนมากับกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ ยังคงทวีความรุนแรง เมื่อวันที่ 30 เม.ย. โดยสื่อท้องถิ่นเมียนมาและสำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า กองทัพอากาศเมียนมาได้ออกปฏิบัติการโจมตีทางอากาศอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโต้กรณีกองกำลังกะเหรี่ยงทำการบุกยึดค่ายทหารเมียนมา พร้อมเผาทำลายสิ่งก่อสร้างในพื้นที่ใกล้พรมแดนประเทศไทย

เช่นเดียวกับในรัฐคะฉิ่น ทางภาคเหนือ ที่มีรายงานว่ากองทัพอากาศเมียนมาได้ปฏิบัติการทิ้งระเบิดต่อเนื่องเป็นวันที่ 6 แล้ว หลังเกิดการปะทะกับกองพันที่ 25 ของกองกำลังคะฉิ่นอิสระหรือเคไอเอ จนส่งผลให้ค่ายทหารกองทัพเมียนมาใกล้พรมแดนจีนถูกกลุ่มชาติพันธุ์เข้ายึดครอง โดยเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ สื่อท้องถิ่นเมียนมารายงานด้วยว่า ถือเป็นการปะทะระหว่างกองทัพกับกลุ่มชาติพันธุ์ครั้งรุนแรงที่สุดในรอบ 25 ปี

นอกจากนี้ จากการเปิดเผยของเครือข่ายสนับสนุนสันติภาพชาวกะเหรี่ยงยังระบุว่าขณะนี้มีชาวบ้านมากกว่า 8,000 คน อพยพหนีการสู้รบ มาหลบภัยชั่วคราวตลอดแนวลำน้ำสาละวิน และหากสถานการณ์ไม่ดีขึ้น คนเหล่านี้อาจจำเป็นที่จะต้องหลบหนีเข้าไปในประเทศไทย ซึ่งหวังว่ากองทัพไทยจะให้การช่วยเหลือ

ส่วนข้อมูลของกระทรวงต่างประเทศระบุว่ามีพลเรือนจากเมียนมาข้ามมายังเขตประเทศไทย แล้ว 2,267 คน และยังมีชาวบ้านอีกจำนวนมากที่หลบภัยอยู่ตามป่าเขาในฝั่งเมียนมา เช่นเดียวกับข้อมูลของหน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชนสหประชาชาติ ที่ระบุว่านับตั้งแต่ความขัดแย้งลุกลาม ได้ส่งผลให้มีชาวเมียนมาต้องอพยพออกจากที่อยู่อาศัยแล้วกว่า 40,000 คน ในจำนวนนี้อยู่ในภาคเหนือของเมียนมา 11,000 คน ภาคตะวันออก เฉียงเหนือของเมียนมา 5,800 คน

วันเดียวกัน หน่วยงานโครงการเพื่อการพัฒนาของสหประชาชาติ (UNDP) ยังประเมินสถานการณ์ของเมียนมาว่า มีความเป็นไปได้สูงที่ภายในช่วงต้นปี 2565 เมียนมาอาจมีประชากรยากจนในระดับที่ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานโลกเป็นจำนวนมากกว่า 25 ล้านคน หรือเทียบเท่ากับประชากรครึ่งหนึ่งของประเทศ โดยเป็นผลพวงจากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รวมกับสถานการณ์ความรุนแรงทางการเมืองที่มีต้นตอจากการก่อรัฐประหารของกองทัพเมียนมา ที่ล่าสุดส่งผลให้ประชาชนเสียชีวิตแล้วกว่า 750 คน.

...