ทุกปี การประชุมเวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรัม หรือ WEF จะมีที่เมืองดาวอส สหพันธรัฐสวิส แต่ปีนี้ สถานการณ์โควิด-19 ในสวิตเซอร์แลนด์และประเทศรอบบ้านไม่ค่อยดี มีผู้ติดเชื้อสะสมมากถึง 646,509 คน ตายไปแล้วเกินหมื่น กราฟผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตของสวิตเซอร์แลนด์ขึ้นสูงปรี๊ด

คณะผู้จัดการประชุม WEF จึงตัดสินใจเลือกสิงคโปร์เป็นที่จัดประชุมประจำปี ระหว่าง 25-28 พฤษภาคม 2564 แทนสวิตเซอร์แลนด์ สิงคโปร์ เป็นประเทศหนึ่งซึ่งรัฐบาลประสบความสำเร็จในโครงการฉีดวัคซีนให้ประชาชน และอาจจะเป็นเพราะสิงคโปร์เป็นประเทศเล็ก ตั้งอยู่บนเกาะ ควบคุมการเข้าออกง่าย มีประชากรเพียง 5.5 ล้าน มีพลเมืองติดเชื้อโควิด-19 สะสมเพียง 6 หมื่น ตายเพราะโควิด-19 เพียง 30 คน ยังเหลือคนติดเชื้อทั้งประเทศเพียง 314 คน

รัฐบาลสิงคโปร์ลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะช่วยป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ในขณะเดียวกันก็พยายามดึงดูดภาคธุรกิจจากประเทศต่างๆ ให้เลือกสิงคโปร์เป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ เป็นที่ประชุม และเป็นสถานที่ที่ใช้ทำข้อตกลงทางธุรกิจ

การตัดสินใจของคณะผู้จัดการประชุม WEF ตรงกับความต้องการของรัฐบาลสิงคโปร์ ที่เร่งเปิดอุตสาหกรรมการประชุมและนิทรรศการหรือ MICE เพื่อฟื้นฟูธุรกิจท่องเที่ยวและการเดินทางที่ซบเซาไปอย่างมาก เพราะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19

คนที่จะเข้ามาปฏิบัติงานในการประชุมครั้งนี้ ต้องปฏิบัติตามหลักการป้องกันโควิด-19 อย่างเคร่งครัด ต้องติดอุปกรณ์ขนาดเล็กรวมทั้งอุปกรณ์สื่อสารเพื่อให้สามารถติดตามความเคลื่อนไหวของผู้เข้าร่วมงาน หากพบเห็นมีการรวมกลุ่มกัน ผู้จัดงานจะส่งข้อความเตือนผ่านแอปสมาร์ทโฟน หรือแจ้งคณะทำงานให้เตือนผู้ร่วมงานให้รักษาระยะห่าง การนั่งประชุมก็ต้องห่างกัน และห้ามสัมผัสกัน

รัฐบาลสิงคโปร์อยากให้การประชุม WEF ครั้งนี้เป็นโมเดลของธุรกิจ MICE ในอนาคต สิงคโปร์เองเคยทำวิจัยพบว่า ระหว่างคนที่เดินทางเข้ามาทำธุรกิจ ประชุม หรือท่องเที่ยว พวกที่เดินทางเข้ามาประชุมและทำธุรกิจใช้จ่ายสตางค์มากกว่าพวกที่เข้ามาท่องเที่ยวเป็นเท่าตัว

...

ผมเชื่อว่าคนไทยเองก็อยากได้เงินจากนักท่องเที่ยวและอยากให้มีการจัดประชุมระดับนานาชาติ แต่ทุกคนทราบดีถึงความสามารถของรัฐบาลว่าอยู่ในระดับไหน ดังนั้น นักท่องเที่ยวหรือผู้ที่จะเข้าร่วมประชุมไม่มาประเทศของเรา น่าจะเป็นผลดีและมีความปลอดภัยกับเรามากกว่า

แนวโน้มการท่องเที่ยวหลังวิกฤติโควิด-19 จะไม่ใช่เรื่องทรัพยากรการท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียว แต่จะเป็นเรื่องความสามารถในการบริหารจัดการของรัฐบาลและด้านความปลอดภัยทางสุขภาพของประชาชน ปีครึ่งที่โลกเผชิญวิกฤติโควิด-19 ทำให้คนเดินทางไม่ได้ คนที่อยากท่องเที่ยวอัดอั้นตันใจ มีช่องไหนที่พอจะออกไปท่องเที่ยวได้โดยปลอดภัยก็จะทำกันอย่างบึ้มๆ

ทุกคนทุกประเทศก็เห็นพ้องต้องกันว่าเม็ดเงินด้านการท่องเที่ยวสามารถเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจ และเข้ามาหมุนเวียนในประเทศสร้างรายได้ให้กับประชาชนของตนได้เป็นอย่างดี การท่องเที่ยวทำให้เศรษฐกิจในประเทศหมุนเวียน และมีเม็ดเงินกระจัดพลัดพรายไปทุกตรอกซอกมุม

แม้แต่สหภาพยุโรปก็ยังรู้ซึ้งถึงความสำคัญของการท่องเที่ยว ประธานคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรปให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ เมื่อ 25 เมษายน 2564 ว่า นักท่องเที่ยวอเมริกันที่ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 แล้ว สามารถเดินทางเข้ามาเที่ยวในยุโรปได้

สิงคโปร์เป็นประเทศขนาดเล็ก ไม่มีภาคการผลิต อยู่ได้ด้วย ภาคบริการเกือบทั้งหมด โควิด-19 กระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศอย่างรุนแรง แต่ผู้คนในรัฐบาลก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ เร่งแก้ไขปัญหาเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศให้กลับสู่ภาวะปกติด้วยภาคบริการ

จากสิงคโปร์กลับมาที่ประเทศไทย ก่อนหน้าการระบาดของโควิด-19 รายได้ของเราอยู่กับการท่องเที่ยวเกือบร้อยละ 20 ของจีดีพี หลังจากโควิด-19 เราต้องหาผู้บริหารที่มีความสามารถของจริงเข้ามาดูแลประเทศ โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยว.


นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัย
songlok1997@gmail.com