ดัชนีหุ้นใหญ่ทั้ง 3 ตัวของสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้น โดยเอสแอนด์พีปิดเกิน 4,000 จุดเป็นครั้งแรก ขณะที่ราคาน้ำมันดิบสหรัฐฯ พุ่งขึ้นเกือบ 4% ส่วนราคาทองขยับขึ้นเป็นวันที่ 2

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดการซื้อขายวันที่ 1 เม.ย. 2564 ในแดนบวก โดยดัชนีดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 171.66 จุด หรือราว 0.52% ปิดที่ 33,153.21 จุด ส่วนดัชนีเอสแอนด์พี 500 บวกเพิ่ม 46.98 จุด หรือราว 1.18% ปิดที่ 4,019.87 จุด ขณะที่ดัชนีแนสแด็ก พุ่งขึ้น 233.23 จุด หรือ 1.76% ปิดที่ 13,480.10 จุด

วอลล์สตรีทได้แรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีอย่าง ไมโครซอฟต์, แอมะซอน, อัลฟาเบต และเอ็นวีเดีย ซึ่งกลับมาคึกคักอีกครั้งหลังนักลงทุนเปลี่ยนไปเล่นหุ้นกลุ่มที่ได้กำไรในภาวะที่เศรษฐกิจฟื้นตัวในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา

นอกจากนี้ ยังมีแรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจ แม้ว่าตัวเลขผู้ขอรับสิทธิประโยชน์คนว่างงานครั้งแรกในสัปดาห์ก่อนจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างไม่คาดคิด แต่ข้อมูลอื่นๆ แสดงให้เห็นว่า กิจกรรมการผลิตประจำเดือนมีนาคมพุ่งสู่ค่าสูงสุดในรอบกว่า 37 ปี ขณะที่การจ้างงานในภาคอุตสหกรรมมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2561

ด้านราคาน้ำมันดิบ พุ่งสูงขึ้นในวันพฤหัสบดี หลังจากกลุ่มโอเปกพลัสเห็นชอบร่วมกันในการประท้วง ว่าจะทะยอยผ่อนมาตรการลดกำลังผลิตน้ำมันเป็นเวลา 3 เดือน โดยจะเพิ่มกำลังผลิต 350,000 บาร์เรลต่อวันในเดือนพฤษภาคม เพิ่มอีก 350,000 บาร์เรลในเดือนมิถุนายน และอีก 441,000 บาร์เรลในเดือนกรกฎาคม

นักลงทุนยังตอบสนองต่อรายงานของสำนักงานจัดการข้อมูลพลังงาน (EIA) และคำพูดของประธานาธิบดี โจ ไบเดน ที่ระบุว่า จะร่วมงบประมาณสำหรับก่อสร้างถนน, ทางรถไฟ, เครือข่ายอินเทอร์เน็ต, พลังงานสะอาด และการผลิตสารกึ่งตัวนำ ในแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ของเขาด้วย

...

สัญญาซื้อขายน้ำมันดิบล่วงหน้า เวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต (WTI) งวดส่งมอบเดือนพฤษภาคม พุ่งขึ้น 2.29 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 3.9% ไปอยู่ที่ 61.45 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อบาร์เรล ขณะที่สัญญาน้ำมันดิบเบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนพฤษภาคม เพิ่ม 1.93 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 3.1% ปิดที่ 64.67 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อบาร์เรล

ขณะที่ราคาทองคำเพิ่มขึ้นเป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน หลังค่าเงินดอลลาร์กับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลลดลงเล็กน้อย โดยสัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้าตลาดโคเม็กซ์ งวดส่งมอบเดือนมิถุนายน เพิ่มขึ้น 12.80 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 0.8% ปิดที่ 1,728.40 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อออนซ์

ที่มา: reuters