เปิดเผยเบื้องหลังค่ำคืนเมื่อ 22 ปีก่อน เมื่อสหรัฐฯ ต้องสูญเสียเหยี่ยวราตรี เอฟ-117 เอ สเตลธ์ลำแรกเหนือท้องฟ้าเซอร์เบีย ด้วยจรวดแซม-3 พร้อมกับการเปิดเผย เทคโนโลยีสเตลธ์ที่ใช้มา 30 ปีของสหรัฐ

หากพูดถึงเครื่องบินล่องหน หลายคนที่ชอบในเรื่องราวของสงคราม และการทหาร คงนึกถึงชื่อของ เอฟ-117 เอ ไนท์ฮอว์ก (F-117 Nighthawk) เครื่องบินขับไล่ทิ้งระเบิดที่มีคุณลักษณะสเตลธ์ (STEALTH) ที่เป็นสุดยอดเทคโนโลยีที่พัฒนามาในยุค 80 และถูกนำมาใช้แบบเป็นทางการในยุค 90 ช่วงสงครามอ่าวเปอร์เซีย ด้วยคุณสมบัติของรูปร่างที่มีหน้าตัด ลดการตรวจจับจากเรดาร์ รวมทั้งผิวลำตัวทำมาจากวัสดุพิเศษที่สามารถดูดซับคลื่นเรดาร์ได้ ทำให้เรดาร์ตรวจการณ์มองเห็นเป็นแค่จุดเล็กๆ เหมือนนกตัวหนึ่ง

ด้วยคุณลักษณะแบบนี้มันจึงเป็นอาวุธลับที่ถูกส่งเข้าไปยังสงครามอ่าวเปอร์เซีย เพื่อนำระเบิดนำวิถีด้วยเลเซอร์หย่อนใส่เป้าหมายสำคัญใจกลางกรุงแบกแดด เรียกได้ว่าเป็นการบุกทุบบ้านซัดดัม ฮุสเซนที่เป็นข่าวโด่งดังไปทั่วโลก ด้วยความที่ขึ้นชื่อเป็นเครื่องบินล่องหน ทำให้คนเชื่อได้ว่ามันไม่มีทางจะถูกยิงตกในสงครามได้ หากไม่ได้ใช้อาวุธไฮเทคเหมือนกันยิงตกลงมาจากฟ้า แต่มันก็มีครั้งแรกและครั้งเดียวที่ เอฟ-117 ถูกยิงตกในการรบ โดยเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 22 มี.ค. ปี 1999 หรือราว 22 ปีที่แล้ว ในสงครามในเซอร์เบีย

ทำความรู้จัก เอฟ-117 เอ ไนท์ฮอว์ก 

เอฟ-117 ไนท์ฮอว์ก เป็นผลงานการออกแบบและพัฒนาโดยทีมสกังค์เวิร์ค (Skunk Works) บริษัทลอคฮีด มาร์ติน ผู้ที่อยู่เบื้องหลังเครื่องบินลับๆ ของสหรัฐฯ ทั้งเครื่องบินจารกรรมเพดานบินสูง ยู-2 เครื่องบินจารกรรมความเร็วเหนือเสียง เอสอาร์-71 แบล็กเบิร์ด โดยมันได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ในกองทัพอากาศสหรัฐฯ ทำการบินครั้งแรก เมื่อปี 2524 และเข้าประจำการเมื่อปี 2526 โดยผลงานของมันอย่างเป็นทางการออกต่อหน้าสื่อ ได้รับการกล่าวขานคือ ช่วงสงครามอ่าวเปอร์เซียในปี ค.ศ.1991 

...

เอฟ-117 เป็นเครื่องบินแบบที่นั่งเดียว ไม่ติดตั้งเรดาร์ เพื่อลดการแผ่คลื่น โดยมีเพียงระบบนำทางด้วยดาวเทียม หรือ จีพีเอสและระบบตรวจจับเป้าหมายด้วยเลเซอร์-อินฟราเรด ใช้เครื่องยนต์แบบเทอร์โบแฟนของ เจเนรัล อิเลคทริก รุ่น เอฟ404-เอฟ102 จำนวน 2 เครื่องยนต์ ให้แรงขับเครื่องละ 10,600 ปอนด์ ไม่ติดตั้งสันดาปท้าย และท่อท้ายถูกออกแบบให้เล็กแบนยาวไปกับส่วนหาง เพื่อการพรางความร้อนที่ท่อท้าย มีช่องเก็บอาวุธภายในลำตัว ติดระเบิดนำวิถีได้ 2 ลูก ไม่มีตำแหน่งอาวุธ หรือถังเชื้อเพลิงภายนอก เพื่อลดการถูกตรวจจับด้วยเรดาร์ และหน้าที่หลักคือการเล็ดลอดแนวป้องกันข้าศึก เพื่อทิ้งระเบิดใส่เป้าหมายสำคัญๆ

ชื่อเป็นเครื่องขับไล่ แต่ไยเจ้าทิ้งแต่ระเบิด

เอฟ-117 เอ เครื่องบินที่ก้าวหน้าส่วนมากของสหรัฐฯ จะใช้การตั้งชื่อแบบหลังปี 1962 จะใช้ตัวอักษร "F" ที่หมายถึงเครื่องบิบขับไล่อากาศสู่อากาศ (Fighter) "B" ที่หมายถึงเครื่องบินทิ้งระเบิด (Bomber) "A" ที่หมายถึงเครื่องบินโจมตี (Attacker) เช่น เอฟ-15 ซี/ดี อีเกิลส์, บี-52 เอช สตราโตรฟอร์เทรส และ เอ-7 (ดี คอร์แซร์ ทู) ดังนั้นจริงๆ แล้วเครื่องบินเทคโนโลยีล่องหนที่เน้นการโจมตีภาคพื้นดินเป็นหลักจึงไม่ควรใช้ "F"

แต่การใช้ "เอฟ-117" นั้นดูเหมือนว่ามีเพื่อชี้ให้เห็นว่ามันได้รับชื่อเช่นนั้นอย่างเป็นทางการ ก่อนระบบตั้งชื่อปี 1962 ด้วยสมมติฐาน คือ เพื่อเปิดเผยมันต่อสาธารณะ ว่ามันน่าจะได้ใช้ชื่อว่าเอฟ-19 ซึ่งเป็นชื่อที่ยังไม่ถูกใช้ อย่างไรก็ตามมันก็ไม่มีเครื่องบินลำใดที่ใช้ชื่อตระกูลเซนจูรี่ "100" หลังจากที่มี เอฟ-111 อาร์ควาร์ค ที่ใช้งานในช่วงสงครามเย็น รวมถึงเครื่องบินของสหภาพโซเวียตที่ถูกยึดได้อย่าง มิก-15 มิก-17 และมิก-21 ก็ถูกใช้ชื่อเป็นเอฟ เมื่อถูกใช้โดยนักบินทดสอบของสหรัฐฯ

...

เมื่อมีเครื่องบินต่างสัญชาติบินอยู่ในบริเวณทางใต้ของเนวาดา เครื่องบินที่ถูกยึดมาจึงถูกเรียกทางวิทยุว่า 117 มันถูกใช้โดยหน่วยบินเรดแฮทส์/เรดอีเกิลส์ ที่ 5588 ซึ่งมักบินเครื่องบินอยู่ในบริเวณดังกล่าว การเรียกเช่นนั้นไม่มีสาเหตุอะไร และชื่อเอฟ-19 ก็ถูกพิจารณาโดยกองทัพอากาศ จนกระทั่งโมเดลเครื่องบินที่ออกมาในช่วงนั้น ออกโมเดลเอฟ-19 ที่อ้างกันว่าเป็นเครื่องบินสเตลธ์ที่สหรัฐฯ กำลังจะนำเข้าประจำการในทศวรรษที่ 80 

เป็นที่เห็นได้ชัดว่าการเรียก "117" ทางวิทยุนั้นได้กลายมาเป็นธรรมเนียม และเมื่อล็อกฮีดผลิตเครื่องบินออกมา การเรียกว่า เอฟ-117 ก็ถูกใช้เพื่อปิดบังการมีตัวตนของมัน เพราะเครื่องบินรุ่นนี้จัดอยู่ในระดับท็อปซีเครต พูดให้รู้ไม่ได้แม้แต่ลูกเมียของคนที่ทำงานในฐานทัพ ก็รู้แค่ว่า พ่อ และสามี ไปเป็นนักบินของเครื่องบินเอ-7 หรือเป็นช่างซ่อมเอ-7 คอร์แซร์ ทู อันเป็นเครื่องบินโจมตี ที่ใช้มาตั้งแต่สงครามเวียดนาม 

อย่างไรก็ตาม สารคดีทางโทรทัศน์ได้สัมภาษณ์สมาชิกอาวุโสจากทีมผู้สร้างเอฟ-117 เอ โดยเขากล่าวว่านักบินต้องการที่จะบินเครื่องบินใหม่ และสิ่งที่ดึงดูดนักบินให้มาบินมากที่สุด คือ การที่บินเครื่องบินที่เป็นเอฟ "F" มากกว่า "B" หรือ "A" เพราะมองว่าการเป็นนักบินขับไล่มันเท่กว่า เจ๋งกว่า 

...

ค่ำคืนแห่งชัยชนะของเซอร์เบีย เด็ดปีกเหยี่ยวรัตติกาล

ในคืนที่ 4 ในการโจมตีทางอากาศของกองกำลังนาโตเหนือท้องฟ้ากรุงเบลเกรด นาวาอากาศโทดาร์เรล พี.เซลโค นักบินที่ผ่านศึกสงครามอ่าวเปอร์เซีย ขับเครื่องบินเอฟ-117 ของฝูงบินขับไล่ที่ 43 ฐานทัพอากาศฮอลโลว์แมน รัฐนิวเม็กซิโก ร่วมกำลังรบนาโตที่วางกำลังอยู่ที่ฐานทัพอากาศอวิอาโน ประเทศอิตาลี ภายใต้นามเรียกขานว่า “เวก้า 31” โดยเขาได้ร่วมบินเป็นภารกิจที่ 3 ในการร่วมโจมตีทางอากาศใส่เป้าหมาย ภารกิจนี้ดูจะไม่มีอะไรผิดไปจากรอบก่อนหน้า ที่ทิ้งระเบิดเข้าสู่เป้าหมายแล้วก็บินกลับ

แต่คืนนี้จะทำให้เขาจดจำไปแบบไม่มีวันลืม ระหว่างที่เขากำลังบินกลับฐานทัพอากาศอวิอาโน เครื่องบินของเขาถูกยิง และแน่นอนว่ามันกำลังร่วงลงสู่พื้นที่เป็นแนวหลังข้าศึก แต่เมื่อสัญชาตญาณเอาตัวรอดกระตุ้นให้เขาต้องหนีตายจากซากเครื่องบินราคาพันล้าน ที่กำลังเป็นลูกไฟดิ่งลงพื้น เขาจับห่วงดีดตัวที่หน้าขา แล้วดีดตัวออกจากเครื่องบินทันที

หลังจากที่ร่มกาง ร่างของเขาก็ค่อยๆ ตกลงสู่พื้น เมื่อถึงพื้น เขาก็รีบหาที่ซ่อนตัว และติดต่อวิทยุไปยังฐานทัพเพื่อขอความช่วยเหลือทันที เฮลิคอปเตอร์ค้นหาและกู้ภัยแบบ MH-53M และ MH-53J เพฟโลว์ทรี MH-60 ซีฮอว์ก พร้อมทีมหน่วยปฏิบัติการพิเศษ ถูกสั่งเตรียมพร้อมออกให้การช่วยเหลือภายในเวลา 5 ชั่วโมง หน่วยบัญชาการปฏิบัติการพิเศษกองทัพอากาศ หรือ AFSOC ได้ประสานงานเครื่องบินแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า อี-3 ซี เอแวคส์ เครื่องบินปฏิบัติการพิเศษ อีซี-130 อี ริเวท ไรเดอร์ (EC-130E Rivet Rider) และเครื่องบินโจมตีสนับสนุนทางอากาศแบบใกล้ชิด เอ-10 เอ ทันเดอร์โบลด์ ทู ทำหน้าที่บินคุ้มกันชุดช่วยเหลือนักบิน เดินทางเข้าสู่เป้าหมายที่นักบินถูกยิงตก และพานักบินออกมาจากแนวหลังของข้าศึกได้อย่างปลอดภัย

...

ชัยชนะของระบบป้องกันภัยทางอากาศของเซอร์เบีย

หลังมีข่าวว่า เอฟ-117 ถูกยิงตกโดยระบบป้องกันทางอากาศ ก็เกิดคำถามขึ้นมาทันทีว่า เครื่องบินสเตลธ์ พลาดท่าเสียทีขีปนาวุธแซมรุ่นเก่า จากการสอบถามผู้ควบคุมระบบป้องกันภัยทางอากาศของเซอร์เบีย ระบุว่า ได้มีการปรับปรุงเรดาร์ที่ใช้อยู่ให้สามารถตรวจจับในย่านคลื่นความถี่ยาว ทำให้ตรวจเจอเครื่องบินสเตลธ์ได้ในระยะใกล้ แม้สเตลธ์จะมีการตัดเรดาร์ที่เล็ก แต่มันจะถูกตรวจพบทันทีที่เอฟ-117 เปิดฝาช่องเก็บอาวุธเพื่อทิ้งระเบิดขนาด 2,000 ปอนด์ที่ติดมาในลำตัว

สิ่งที่กองทัพเซอร์เบียทำ คือ การเฝ้าฟังการสื่อสารของกองทัพสหรัฐฯ และเหล่าพันธมิตรผ่านคลื่นความถี่ UHF และ VHF ที่ส่วนมากแล้วไม่มีการเข้ารหัสสัญญาณป้องกันการดักฟัง โดยมันเป็นเรื่องที่เป็นมานานกว่า 12 ปี นับตั้งแต่ปฏิบัติการ โอดิสซีย์ ดอว์น โอเวอร์ ลิเบีย เมื่อปี ค.ศ.1999 อีกทั้งยังมีการวางกำลังป้องกันทางอากาศใกล้ๆ เป้าหมายที่ถูกโจมตี แต่สิ่งที่น่าตกใจคือ เซอร์เบียดักสอยได้ เพราะได้ศึกษาเส้นทางการบินและพบว่าเอฟ-117 มีเส้นทางการบินเข้าออกเป้าหมายแบบเดิมซ้ำๆ ทำให้ง่ายต่อการคาดเดาและดักยิงได้ รู้แม้กระทั่งเครื่องบินทิ้งระเบิดมาเมื่อไหร่ และจะโจมตีที่จุดใด

ภายหลังจากถูกยิงตก ซากเศษชิ้นส่วนของเอฟ-117 เอ ไนท์ฮอว์ก หมายเลขเครื่อง 82-0806 ที่รอดจากการถูกทำลายโดยเปลวไฟ ถูกนำมาตั้งจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศในกรุงเบลเกรด โดยหน่วยที่สามารถยิงเครื่องบินสเตลธ์ตกได้ คือ ผลงานของกองพลขีปนาวุธป้องกันภัยทางอากาศที่ 250 แห่งกองทัพยูโกสลาเวีย กองพันที่ 3 ที่ใช้หมัดเด็ดอย่างขีปนาวุธต่อต้านอากาศยานแบบ เอสเอ-3 กัว หรือ S-125 Neva หรือที่เรียกกันในวงการทหารว่า แซม-3 มีระยะยิง 8 ไมล์ ที่เข้าจัดการเครื่องสเตลธ์

อ้างจากคำให้การของ พันจ่าโทดราแกน มาติช ทหารผู้ที่ถูกระบุว่าเป็นผู้ควบคุมการยิงขีปนาวุธครั้งนั้นว่า เราตรวจจับเครื่องสเตลธ์ได้ตั้งแต่ระยะ 50-60 กิโลเมตร แต่เราตั้งปุ่มควบคุมเป็นห้ามล็อกเป้ายิงไว้นานเกิน 17 วินาที เพื่อป้องกันถูกขีปนาวุธต่อต้านเรดาร์โจมตี พอได้จังหวะก็ยิงเลย ทั้งนี้มีรายงานว่า ชิ้นส่วนของเอฟ-117 หมายเลข 82-0806 ที่ถูกยิงตก ถูกส่งไปให้รัสเซียเพื่อใช้ในการวิเคราะห์ออกแบบเทคโนโลยีต่อต้านสเตลธ์ในเวลาต่อมา

ปิดตำนานเหยี่ยวราตรี...อย่างนั้นหรือ  



กองทัพอากาศสหรัฐฯ ประจำการเครื่องบินเอฟ-117 ยาวนานถึง 38 ปี ก่อนปลดประจำการไปในปี 2008 ปิดตำนานเหยี่ยวราตรี หัวหอกนำทิ้งระเบิดในดินแดนข้าศึกลง เพราะมองว่าในตอนนั้นเทคโนโลยีสเตลธ์ของเอฟ-117 ไม่ได้เป็นความลับอีกต่อไป รวมทั้งการประจำการของเครื่องบินขับไล่แบบ เอฟ-22 เอ แร็ปเตอร์ ที่มีสมรรถนะที่สูงกว่า มีขีดความสามารถมากกว่า โดยหลังจากปลดประจำการเครื่องบินราว 50 ลำได้ถูกเก็บรักษาเอาไว้อย่างดี ในสภาพห่อหุ้มเหมือนดักแด้สีขาว เพื่อรอว่าในอนาคตอาจมีความต้องการนำพวกมันกลับมาใช้งานเมื่อถึงคราวจำเป็น

อย่างไรก็ตาม หลายปีในปี 2019-2020 ยังคงมีผู้คนที่อยู่ใกล้กับฐานทัพอากาศพบเห็นการปรากฏตัวของเอฟ-117 มีรายงานว่ามันบินอยู่กับเอฟ-16 ที่ฐานทัพอากาศเอ็ดเวิร์ดส หรือมีคนพบมันบินอยู่ในหุบเขามรณะ ทางตอนเหนือของทะเลทรายโมฮาวี รัฐแคลิฟอร์เนีย ในแบบที่ไม่ระบุสังกัด ไม่ระบุเครื่องหมายใดๆ และทำสีเครื่องเหมือนเครื่องบินข้าศึกสมมติ

เมื่อวันที่ 13 ก.ย. ปี 2021 เครื่องบินเอฟ-117 จำนวน 2 ลำ ลงจอดที่สนามบินนานาชาติเฟรสโน โยเซมิตี รัฐแคลิฟอร์เนีย พวกเขามีกำหนดจะฝึกกับ F-15C/D Eagle ของกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิแคลิฟอร์เนีย California Air National Guard ของกองบินขับไล่ที่ 144th ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เครื่องบินลำหนึ่งมีตัวอักษรสีแดงที่หาง และอีกลำมีตัวอักษรสีขาว หนึ่งในสองลำนี้มีผู้สังเกตเห็นว่าไม่ได้ติดตั้งแผ่นสะท้อนแสงเรดาร์ ที่ปกติยามไม่ใช่สงครามจะติดแผ่นสะท้อนเรดาร์ไว้ เพื่อให้เรดาร์ควบคุมการจราจรทางอากาศมองเห็น

ทั้งนี้ ที่เป็นไปได้เวลานี้ คือ เนื่องจากการพัฒนาเครื่องบินสเตลธ์ในหลายชาติทั้ง จีน และรัสเซีย ที่มีเครื่องบินที่ตรวจจับด้วยเรดาร์ได้ยากเป็นของตัวเอง เพื่อความไม่ประมาทกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน จึงมีความจำเป็นที่ เครื่องบินข้าศึกสมมติจำเป็นต้องมีคุณลักษณะตรวจจับยาก เพื่อเพิ่มประสบการณ์การรบให้กับนักบินสหรัฐฯ ได้คุ้นเคยกับเครื่องบินที่ตรวจจับด้วยเรดาร์ได้ยาก ในแบบที่ใช้เทคโนโลยีวัสดุดูดซับคลื่นเรดาร์แบบเก่าเมื่อ 30 กว่าปีก่อน ต้องขอบคุณคนที่วางแผนเก็บเครื่องบิน เอฟ-117 เอาไว้ ทำให้ในวันนี้เราได้เห็นมันอยู่ และยังเห็นมันบินอยู่บนฟ้า. 

ผู้เขียน : จุลดิส รัตนคำแปง

ที่มาของข้อมูล : theaviationist, theaviationist official f117 photos, วิกิพีเดีย 

ที่มาของภาพ : กองทัพอากาศสหรัฐฯ, Air National Guard โดย กัปตัน เจสัน ซานเชซ