- 'ซาราห์ เอฟราร์ด' หายตัวไปขณะเดินกลับบ้านในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ก่อนถูกพบเป็นศพถูกทิ้งในป่า สร้างความกังวลให้แก่ผู้หญิงที่แค่เพียงเดินกลับบ้านก็ไม่ปลอดภัย
- เจ้าหน้าที่ตำรวจเทศบาลลอนดอนตกเป็นผู้ต้องสงสัยก่อเหตุฆาตกรรมหญิงสาว ขณะที่สตรีทั่วอังกฤษได้ร่วมไว้อาลัย แต่พิธีก็ต้องชะงักเมื่อตำรวจได้บุกจับกุมผู้เข้าร่วมงานโดยอ้างมาตรการควบคุมโควิด-19
- คดีฆาตกรรมในครั้งนี้ได้จุดประเด็นสวัสดิภาพของผู้หญิง ทำให้สตรีในหลากหลายสาขาอาชีพลุกขึ้นมาสะท้อนสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับตนเอง พร้อมเรียกร้องให้มีการปลูกฝังการต่อต้านการใช้ความรุนแรงกับผู้หญิง
คดีฆาตกรรมซาราห์ เอฟราร์ด หญิงอังกฤษ วัย 33 ปี ในกรุงลอนดอนประเทศอังกฤษ ได้กลายเป็นที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง หลังจากที่เธอหายตัวไปก็มีการประกาศตามหาไปทั่วกรุงลอนดอน แต่แล้วสิ่งที่ทุกคนกลัวก็เป็นจริงเมื่อเอฟราร์ด เสียชีวิตด้วยการถูกฆาตกรรม ซึ่งผู้ต้องสงสัยเบอร์หนึ่งคือตำรวจเทศบาลกรุงลอนดอน ทำให้เกิดคำถามถึงความปลอดภัยและสวัสดิภาพของผู้หญิง ที่เพียงจะเดินกลับบ้านตามปกติในกรุงลอนดอนที่มีผู้คนพลุกพล่านก็ไม่ปลอดภัย
...
คดีฆาตกรรมซาราห์ เอฟราร์ด ได้สร้างความหวาดกลัว ในขณะเดียวกันก็ทำให้สตรีในหลากหลายสาขาอาชีพลุกขึ้นมาสะท้อนสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมที่ไม่ปลอดภัยสำหรับผู้หญิงซึ่งฝังรากลึกในแทบทั่วทุกมุมโลก
'ซาราห์ เอฟราร์ด' หายตัวปริศนาก่อนถูกพบเป็นศพ
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 3 มีนาคม ซาราห์ เอฟราร์ด ผู้บริหารการตลาดวัย 33 ได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยขณะเธอกำลังเดินกลับจากบ้านเพื่อนย่านแคลปแฮม ทางตอนใต้ของกรุงลอนดอนไปยังบ้านในย่านบริกส์ตัน มีระยะทางราว 4 กิโลเมตร วันถัดมาแฟนหนุ่มของเธอได้แจ้งการหายตัวไปต่อตำรวจและมีการประกาศตามหาพร้อมทั้งติดป้ายภาพถ่ายของเธอตามจุดต่างๆ ในกรุงลอนดอน ด้านตำรวจได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดในบริเวณดังกล่าวและพบว่าเอฟราร์ดเดินกลับบ้านคนเดียวก่อนที่จะหายตัวไป
ขณะที่หลายคนมีความหวังว่าจะเจอตัวเอฟราร์ดโดยที่เธอยังคงมีชีวิตอยู่ แต่หลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกตามหาอยู่ร่วมสัปดาห์ วันที่ 10 มี.ค. เจ้าหน้าที่ก็พบกระสอบต้องสงสัยบริเวณป่าเมืองเคนต์ ซึ่งภายในมีร่างของหญิงคนหนึ่งถูกฆาตกรรมและนำมาทิ้งเอาไว้ จากการตรวจสอบก็พบว่าร่างที่ถูกพบคือซาราห์ เอเอฟราร์ด หญิงที่หายตัวไป สร้างความโศกเศร้าให้กับผู้ที่ทราบข่าว
ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ควบคุมตัวนายเวนน์ คูเซนส์ วัย 48 ปี เจ้าหน้าที่ตำรวจกรุงลอนดอนในข้อหาฆาตกรรมซาราห์ เอฟราร์ด เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจกลับกลายเป็นผู้ที่กระทำความผิดเสียเอง ทำให้คดีฆาตกรรมในครั้งนี้จุดประเด็นสวัสดิภาพของผู้หญิงที่แค่เพียงเดินทางกลับบ้านในย่านที่ผู้คนพลุกพล่านก็ไม่ปลอดภัย
ถึงแม้ว่าผู้ต้องสงสัยจะถูกควบคุมตัว แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่เปิดเผยรายละเอียดการเสียชีวิตของเอฟราร์ด โดยระบุว่าอยู่ระหว่างการสอบสวนและตรวจค้นบ้านของนายคูเซนส์ ในเมืองเคนต์ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสถานที่พบศพ
นายกฯ อังกฤษกังวลตำรวจใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุ ดัชเชสร่วมไว้อาลัย
...
หลังจากนั้นได้มีการจัดพิธีไว้อาลัยให้แก่ซาราห์ เอฟราร์ด บริเวณสวนสาธารณะแคลปแฮม คอมมอน โดยมีผู้เข้าร่วมไว้อาลัยจำนวนมาก หนึ่งในนั้นคือดัชเชสแห่งเคมบริดจ์ ที่ทรงร่วมพิธีไว้อาลัยด้วยเช่นกัน แต่การไว้อาลัยอย่างสงบกลับกลายเป็นภาพผู้ร่วมงานถูกจับกุมตัวโดยตำรวจนครบาลลอนดอน ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมผู้เข้าร่วมงานกดลงกับพื้น บางส่วนถูกลากตัวออกจากพิธีซึ่งการกระทำดังกล่าวได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ ส่วนเจ้าหน้าที่อ้างว่าผู้เข้าร่วมงานฝ่าฝืนมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรควิด-19
ด้านนายบอริส จอห์นสัน นากยกรัฐมนตรีอังกฤษ ระบุว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่น่ากังวลอย่างยิ่ง และภาพที่ปรากฏเป็นสิ่งที่น่าเศร้า ขณะที่นายซาดิก ข่าน นายกเทศมนตรีกรุงลอนดอนระบุว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้และจะมีการทบทวนการทำหน้าที่ของตำรวจ
คดีฆาตกรรมสะท้อนปัญหาที่ผู้หญิงต้องเผชิญ
คดีฆาตกรรมดังกล่าวได้จุดชนวนให้ผู้หญิงในอังกฤษสะท้อนปัญหาความปลอดภัยของผู้หญิง ทำให้สตรีในหลากหลายสาขาอาชีพลุกขึ้นมาสะท้อนสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับตนเอง พร้อมเรียกร้องให้มีการปลูกฝังการต่อต้านการใช้ความรุนแรงกับผู้หญิง ซึ่งเรื่องราวที่ถูกแชร์มีทั้งการถูกคุกคามในแง่มุมต่างๆ สะท้อนความไม่ปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินที่ผู้หญิงต้องเผชิญ บางส่วนระบุว่าเคยวิ่งหนีผู้ที่จะเข้ามาทำร้ายขณะเดินอยู่คนเดียว ขณะเดียวกันก็มีการแชร์วิธีป้องกันตนเองของผู้หญิงเช่นการกำกุญแจเอาไว้ระหว่างนิ้วมือเพื่อใช้ป้องกันตนเองหากมีคนเข้ามาทำร้าย
...
ด้าน มายา ทัตตัน ผู้ก่อตั้งแคมเปญต่อต้านการล่วงละเมิด ชี้ว่า เหตุการณ์ความรุนแรงต่อผู้หญิงได้ทำให้ผู้หญิงไม่กล้าที่จะออกไปไหนมาไหนคนเดียว ซึ่งแท้จริงแล้วการกระทำดังกล่าวเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่ผู้หญิงพึงมี เพศหญิงควรสามารถเดินทางได้เองอย่างอิสระโดยที่ไม่ต้องเกรงกลัว นอกจากนี้ปัญหาความรุนแรงต่อสตรียังได้ถูกมองข้ามและไม่ถูกยกให้เป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องเร่งแก้ไข ในทางกลับกับผู้หญิงกลับถูกบังคับให้เป็นฝ่ายที่ต้องเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตนเองแทนที่จะมีการคาดโทษผู้ที่กระทำความผิด
...
ขณะที่สถิติจากองค์การอนามัยโลก ระบุว่า หนึ่งในสามของผู้หญิงทั่วโลก หรือราว 736 ล้านคน เคยตกเป็นเหยื่อความรุนแรงทางร่างกายและทางเพศ นอกจากนี้หนึ่งในสี่ของผู้หญิงอายุระหว่าง 15 ถึง 24 เคยตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงโดยคู่ครองก่อนที่จะถึงช่วงอายุ 25 ปี โดยผู้หญิงที่อาศัยอยู่ในประเทศที่มีรายได้น้อย เช่น ฟิจิ, ประเทศในเอเชียใต้ และประเทศทางตอนใต้ของทะเลทรายซาฮาราของทวีปแอฟริกา มีแนวโน้มที่จะเผชิญกับความรุนแรงจากคู่ครองมากที่สุด
ด้าน ดร.ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก ระบุว่า ความรุนแรงต่อผู้หญิงนั้นเป็นโรคร้ายของแต่ละประเทศ สร้างความเสียหายให้แก่ผู้หญิงและครอบครัว แต่ความรุนแรงต่อสตรีนั้นแตกต่างจากโรคโควิด-19 เนื่องจากไม่สามารถหยุดยั้งได้ด้วยการฉีดวัคซีน.
ผู้เขียน: นัฐชา