• โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ลงนามบังคับใช้กฎหมายแพ็กเกจเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 มูลค่า 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แล้ว หลังจากสภาคองเกรสลงมติเห็นชอบ

  • กฎหมายฉบับนี้ จะจัดสรรงบประมาณไปใช้ฟื้นฟูในภาคส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการมอบเงินช่วยเหลือแก่ประชาชนหรือธุรกิจโดยตรง ช่วยเหลือคนตกงาน และรัฐบาลท้องถิ่นที่กำลังประสบปัญหาเพราะโควิด

  • การผ่านกฎหมายของสภาคองเกรส นับเป็นชัยชนะในการออกกฎหมายครั้งแรกของนายไบเดน แต่เรื่องนี้อาจทำให้เขาต้องเผชิญปัญหาในการออกกฎหมายอื่นๆ ในอนาคต

สภาคองเกรสสหรัฐฯ ลงมติผ่านร่างกฎหมายเยียวยาผลกระทบจากโควิด-19 หรือที่เรียกว่า ‘แผนช่วยเหลือชาวอเมริกัน’ มูลค่ากว่า 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แล้ว ก่อนที่ประธานาธิบดี โจ ไบเดน จะลงนามบังคับใช้ในวันพฤหัสบดีที่ 11 มี.ค. 2564 ทำให้ตอนนี้รัฐบาลมีเงินก้อนโตเพื่อใช้สำหรับฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศแล้ว

กฎหมายซึ่งมีการใช้จ่ายงบประมาณมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศฉบับนี้ ต้องฝ่าฟันการลงมติในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาถึง 3 ครั้ง แต่ก็ผ่านมาได้ด้วยดีเนื่องจากฝ่ายเดโมแครตครอบครองเสียงข้างมากในทั้งสองสภาเอาไว้ ท่ามกลางเสียงต่อต้านจากฝ่ายรีพับลิกัน ที่มองว่าแพ็กเกจนี้ใช้งบประมาณมากเกินไป

การผ่านกฎหมายของสภาคองเกรส นับเป็นชัยชนะในการออกกฎหมายครั้งแรกของประธานาธิบดี โจ ไบเดน แต่การทำอะไรแต่เพียงฝ่ายเดียวเช่นนี้ ขัดกับสิ่งที่เขาเคยลั่นวาจาไว้ในพิธีสาบานตนรับตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ และมักมีสิ่งที่ต้องแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการออกกฎหมายของรัฐบาลไบเดนในอนาคตได้

...

ฝ่าฟัน 2 สภา

โจ ไบเดน เผยร่างกฎหมายเยียวยาผลกระทบจากโควิด-19 ซึ่งชาวอเมริกันเฝ้ารอมานาน เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2564 หลังฉบับเก่าของโดนัลด์ ทรัมป์ หมดอายุในช่วงปลายปี 2563 โดยวางงบประมาณสำหรับฟื้นฟูประเทศไว้มหาศาลถึง 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ร่างกฎหมายฉบับนี้ต้องผ่านการลงมติในสภาคองเกรสถึง 3 ครั้ง เริ่มจากเมื่อวันที่ 27 ก.พ. สภาผู้แทนราษฎรลงมติเห็นชอบด้วยคะแนนเสียง 219 ต่อ 212 เสียง โดยมี ส.ส.เดโมแครตแตกแถวโหวตคัดค้าน 2 คน ขณะที่ฝั่งรีพับลิกันไม่มีใครโหวตสนับสนุนเลย ก่อนที่ร่างกฎหมายจะถูกส่งต่อไปยังวุฒิสภา

วุฒิสมาชิกใช้เวลาอภิปรายร่างกฎหมายฉบับนี้นานถึง 27 ชั่วโมง เนื่องจากมีความเห็นไม่ลงรอยกัน ในบทบัญญัติที่กำหนดให้เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำจาก 7.25 ดอลลาร์ เป็น 15 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง จนในที่สุดฝ่ายเดโมแครตก็ยอมประนีประนอม ถอดข้อกำหนดที่ว่าออกไป และลดการจ่ายสวัสดิการคนว่างงานลงเหลือเพียง 300 ดอลลาร์สหรัฐฯ ก่อนที่ เหล่า ส.ว.จะลงมติผ่านร่างกฎหมายด้วยคะแนน 50 ต่อ 49 เสียงเมื่อวันที่ 6 มี.ค.

จากนั้น ร่างกฎหมายซึ่งผ่านการแก้ไขแล้วก็ถูกส่งกลับมาพิจารณาอีกครั้งในสภาผู้แทนราษฎรอีกครั้งในวันที่ 10 มี.ค. ซึ่งครั้งนี้ เหล่า ส.ส.ลงมติเห็นชอบด้วยคะแนนเสียง 220 ต่อ 211 เสียง โดยมี ส.ส.เดโมแครต 1 คนที่ยังคงโหวตคัดค้าน แต่เท่านี้ก็เพียงพอให้นายไบเดนได้จรดปากลงนามบังคับใช้เป็นกฎหมายอย่างเป็นทางการ

งบก้อนโต... ใช้จ่ายอะไรบ้าง?

ภายใต้กฎหมายฉบับนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ จะมอบเช็กมูลค่า 1,400 ดอลลาร์สหรัฐฯ แก่บุคคลที่มีรายได้ไม่เกิน 75,000 ดอลลาร์ต่อปี, พ่อหรือแม่เลี้ยงเดี่ยว ที่รายได้ไม่ถึง 125,000 ดอลลาร์ต่อปี และสามีภรรยาที่มีรายได้ไม่เกิน 150,000 ดอลลารสหรัฐฯ ต่อปี ซึ่งครอบคลุมประชากรกว่า 90% ของประเทศ

ขยายเวลาจ่ายเงินพิเศษในสวัสดิการคนว่างงานประจำสัปดาห์ไปจนถึงเดือนกันยายน ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับผู้ตกงานระยะยาวในสหรัฐฯ ที่ขณะนี้มีมากกว่า 4 ล้านคน ก่อนที่กฎหมายฉบับก่อนจะหมดอายุในช่วงกลางเดือนมีนาคมนี้ โดยจะมอบเงินเพิ่มเติมแก่ผู้ขอรับสวัสดิการคนละ 300 ดอลลาร์สหรัฐฯ

มอบสวัสดิการแก่พ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว ที่รายได้ไม่ถึง 75,000 ดอลลาร์ต่อปี และสามีภรรยาที่มีรายได้ไม่เกิน 150,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี ด้วยการเพิ่มเงินลดหย่อนภาษีบุตร ที่ครอบครัวสามารถขอรับได้จาก 2,000 ดอลลาร์ต่อปี เป็นสูงสุด 3,600 ดอลลาร์ต่อปี และสามารถเบิกล่วงหน้าได้ด้วย

...

จัดงบประมาณ 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับพัฒนาศูนย์ตรวจโควิด-19 และอีก 20,000 ล้านดอลลาร์เพื่อพัฒนาโครงการฉีดวัคซีนทั่วประเทศ ซึ่งรวมถึงการตั้งศูนย์ฉีดวัคซีนในชุมชน กับจ้างบุคลากรเพิ่มเติม และอีก 170,000 ล้านดอลลาร์มอบให้แก่โรงเรียนและมหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อช่วยเหลือเรื่องการกลับมาเปิดการเรียนการสอนอีกครั้ง

มอบเงินช่วยเหลือแก่ธุรกิจขนาดเล็ก แบ่งเป็น 25,000 ล้านดอลลาร์ให้กับร้านอาหารและบาร์ต่างๆ, 15,000 ล้านดอลลาร์และ 8,000 ล้านดอลลาร์ มอบให้แก่ผู้ประกอบกิจการสายการบินกับสนามบินตามลำดับ อีก 30,000 ล้านดอลลาร์มอบให้แก่ภาคการขนส่งสาธารณะ ส่วนองค์การขนส่งมวลชนแห่งชาติ หรือ แอมแทร็ก จะได้รับ 15,000 ล้านดอลลาร์ และก้อนสุดท้าย 3,000 ล้านดอลลาร์มอบให้แก่บริษัทผู้ผลิตเครื่องบิน

ให้นายจ้างสามารถร้องขอเงินช่วยเหลือเพิ่มเติม เพื่อจ่ายให้แก่ลูกจ้างที่ต้องลาป่วยเพราะติดเชื้อโควิด-19 หรือสัมผัสกับไวรัสและต้องกักตัว หรือต้องไปดูแลสมาชิกครอบครัวที่ติดเชื้อ หลังจากข้อกำหนดนี้ในกฎหมายฉบับก่อน หมดอายุไปตั้งแต่สิ้นปี 2563

กฎหมายฉบับนี้ยังแตกต่างจากแพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งก่อนๆ ตรงที่จัดสรรงบประมาณ 350,000 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อมอบให้รัฐบาลท้องถิ่นของเมืองหรือรัฐต่างๆ ด้วย ซึ่งพวกเขากำลังประสบปัญหารายจ่ายสูงขึ้น แต่มีรายรับต่ำลง เพราะเศรษฐกิจตกต่ำ โดยเดโมแครตตั้งใจจะมอบเงินอย่างน้อย 500 ล้านดอลลาร์ให้กับทุกรัฐ

...

ชัยชนะที่ต้องแลกของโจ ไบเดน

การผ่านกฎหมายของสภาคองเกรส นับเป็นชัยชนะในการออกกฎหมายครั้งแรกของประธานาธิบดี โจ ไบเดน ทำให้ตอนนี้รัฐบาลของเขามีเงินมากมายให้ใช้ฟื้นฟูผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม ที่เกิดจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งต้องติดตามกันต่อไปว่า หลังจากการบริหารจัดการของรัฐบาลไบเดนจะมีประสิทธิภาพแค่ไหน

นาย แอนโธนี ซูร์เชอร์ นักข่าวและนักวิเคราะห์เรื่องในภูมิภาคอเมริกาเหนือของสำนักข่าว บีบีซี ระบุว่า หากการใช้จ่ายจำนวนมหาศาลครั้งนี้ สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ รัฐบาลไบเดนจะได้รับประโยชน์ทางการเมืองมากมายจากผลงานการกอบกู้ประเทศ และการที่เดโมแครตสามารถผ่านกฎหมายได้โดยไม่ต้องใช้ความช่วยเหลือจากรีพับลิกัน ก็อาจถูกใช้เป็นอาวุธที่มีประสิทธิภาพในการเลือกตั้งครั้งต่อๆ ไปได้

อย่างไรก็ตาม การผ่านกฎหมายแต่เพียงฝ่ายเดียวแบบนี้ มักมีสิ่งที่ต้องแลกเปลี่ยน ตอนนี้ รีพับลิกันหันไปเกาะกลุ่มพรรคพวกเดียวกันเองมากขึ้นแล้ว และคำพูดของไบเดนในพิธีสาบานตนรับตำแหน่ง ที่ว่าจะเริ่มยุคใหม่ของความร่วมมือระหว่างพรรค ก็ดูจะเป็นความฝันที่ห่างไกลออกไปทุกที

เชื่อได้เลยว่า การออกกฎหมายในอนาคตจะต้องมีบางฉบับที่เดโมแครตต้องการเสียงสนับสนุนจากรีพับลิกันอย่างแน่นอน และพวกเขาจะมีงานต้องทำอีกมาก หากยังต้องการได้รับชัยชนะแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ



ผู้เขียน: H2O

ที่มา: reuters, cnn, bbc

...