- ภาวะขาดแคลนทรายไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น แต่เป็นปัญหาต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2015 แล้ว ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการผลิตคอนกรีต แก้ว รวมไปถึงวงการก่อสร้าง
- ความต้องการในการผลิตขวดแก้วเพื่อใช้บรรจุวัคซีนโควิด-19 ยิ่งทำให้เกิดภาวะขาดแคลนทรายทั่วโลกวิกฤติหนักขึ้น
- ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ความต้องการขวดแก้วขนาดเล็ก เพื่อบรรจุวัคซีนจะเพิ่มขึ้นไปถึง 2 พันล้านขวด ภายในอีก 2 ปีข้างหน้า
ทั่วโลกกำลังเผชิญกับวิกฤติต่อเนื่องจากการขาดแคลนทราย เนื่องจากความต้องการใช้ทรายในอุตสาหกรรมต่างๆ เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะการนำมาผลิตขวดแก้วขนาดเล็ก ที่ใช้บรรจุวัคซีนโควิด-19 สำหรับคนทั่วโลก ที่ยังคงมีความต้องการเพิ่มมากขึ้นทุกที โดยปัจจุบันในสหรัฐฯมีเหมืองกรวดหรือทรายทั่วประเทศจำนวนไม่ถึง 1,000 แห่งเท่านั้น โดยทรายถือเป็นทรัพยากรธรรมชาติอีกชนิดหนึ่งที่มีการนำไปใช้จำนวนมาก รองมาจากน้ำ เพราะเป็นวัสดุที่ใช้ทำแก้ว ทำคอนกรีต ยางมะตอย หรือแม้แต่ไมโครชิพ ซิลิคอน
เฉพาะในแวดวงอุตสาหกรรมเพียงอย่างเดียว มีการใช้ทรายต่อปีมากถึง 50 พันล้านตัน และความต้องการกำลังพุ่งสูง หลังจากที่มีความต้องการขวดแก้วสำหรับบรรจุวัคซีนโควิด-19 อีกราว 2 พันล้านขวด ในอีก 2 ปีข้างหน้า โดยปัญหาการขาดแคลนทรายที่กำลังจะเกิดขึ้น ย่อมจะส่งผลกระทบไปเกือบจะทุกวงการ ตั้งแต่การผลิตสมาร์ทโฟน ไปจนถึงการก่อสร้างอาคาร และที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือ จะส่งผลให้การผลิตขวดแก้วสำหรับวัคซีนโควิด-19 ต้องล่าช้าออกไป จนส่งผลกระทบต่อประชากรทั่วโลก
...
เปดุซซี่ ผู้อำนวยการฐานข้อมูลทรัพยากรธรรมชาติของโลก องค์การสหประชาชาติ ระบุว่า การตื่นตระหนกไม่ช่วยอะไร แต่ต้องเร่งการวางแผนรับมือกับอนาคตข้างหน้า และเปลี่ยนการรับรู้เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากทราย เพราะการที่ทรายหมดลง ไม่ได้กระทบกับอุตสาหกรรมที่ใช้ทรายเป็นวัสดุเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการวางแผนจัดการพื้นที่ด้วย
จากข้อมูลของ UNEP พบว่า ในแต่ละปีจะมีการนำทรายไปใช้เฉพาะในอุตสาหกรรมการก่อสร้างมากถึง 40-50 พันล้านเมตริกตัน ซึ่งนับว่าเพิ่มขึ้นถึง 300 เปอร์เซ็นต์ ในเวลาเพียง 20 ปี และมีแนวโน้มที่ความต้องการจะเพิ่มขึ้นอีก เนื่องจากการขยายของเมือง การเติบโตของประชากร และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งต้องใช้เวลาถึง 2 ปี และใช้แม่น้ำทุกสายในโลกนี้ในการสร้างทรายขึ้นมาทดแทนใหม่ โดยทรายที่ใช้ในปัจจุบันมักจะนำมาจากแม่น้ำ ชายฝั่ง และก้นทะเล ส่วนทรายในทะเลทรายที่เกิดขึ้นตามธรรมชาตินั้นละเอียดเกินไปจนไม่สามารถใช้ในงานก่อสร้างได้ ซึ่งความต้องการใช้ทรายมีมากขึ้นก็จะกระทบต่อระบบนิเวศทางธรรมชาติที่ไม่สามารถสร้างขึ้นมาทดแทนได้ทัน
หนึ่งในแนวทางการแก้ปัญหาเรื่องนี้ก็คือ การหาวัสดุที่จะนำมาใช้ทดแทนได้ โดยนักวิจัยกำลังมองหาวัสดุดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นเถ้าจากภูเขาไฟ ของเสียจากการทำเกษตรกรรม หรือเถ้าลอยจากการเผาถ่านหิน นอกจากนี้ยังมีทรายซิลิกาซึ่งเป็นทรายสำหรับงานอุตสาหกรรมที่ทำมาจากแร่ควอตซ์ด้วย
อย่างไรก็ตาม พบว่าในวงการการก่อสร้างยังคงไม่นิยมใช้ทรายทดแทนเหล่านี้ โดยซูซาน เบอร์นัล นักวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยลีดส์ ระบุว่า การที่จะให้คนเปลี่ยนมาใช้วัสดุทดแทนทรายแบบนี้ได้ ก็ต้องมีการสร้างความเชื่อมั่นและมาตรฐานเพื่อให้มั่นใจว่าหากนำวัสดุเหล่านี้ไปสร้างบ้านแล้ว บ้านหลังนั้นจะปลอดภัยสำหรับการอยู่อาศัยได้
...
จริงๆ แล้วทั่วโลกเริ่มประสบปัญหากระจกแก้วขาดแคลนมาตั้งแต่ปี 2015 แล้ว เนื่องจากทรายที่เป็นส่วนประกอบสำคัญในการทำกระจก โดยนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์บางครั้งต้องรอนานหลายเดือนกว่าที่จะได้กระจกมาติดตั้งบนตึกระฟ้าได้ และเมื่อทั่วโลกต้องเผชิญกับการระบาดของโควิด-19 ภาวะการขาดแคลนแก้วที่นำมาผลิตขวดบรรจุวัคซีน รวมทั้งเข็มฉีดยา จึงเป็นอีกหนึ่งอุปสรรคสำคัญในการรับมือกับการแพร่ระบาด ที่จำเป็นต้องใช้วัคซีนและเข็มฉีดยานับพันล้านชิ้น ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ อุตสาหกรรมการผลิตแก้วทางการแพทย์เพิ่งจะสามารถผลิตได้เพียงพอต่อความต้องการ
บริษัท คอร์นนิ่ง ช็อต และนิโปร ฟาร์มา คอร์ปอร์เรชั่น ผู้ผลิตแก้วสำหรับเวชภัณฑ์รายใหญ่ 3 แห่งของโลก ยอมรับว่าความต้องการใช้แก้วเพิ่มสูงขึ้นมาก ในช่วงที่เกิดวิกฤติสุขภาพทั่วโลก ทั้ง 3 บริษัทจึงจำเป็นต้องจับมือกันเพื่อหาทางผลิตให้ได้เพียงพอต่อความต้องการในเวลานี้ โดยเฉพาะบริษัท แจนเซ่น ในเครือจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ก็มีการพรีออเดอร์ขวดแก้ววัคซีนมาแล้วถึง 250 ล้านขวด ซึ่งทางผู้ผลิตกำลังพยายามที่จะผลิตให้มีสำรองไว้อย่างน้อย 200 ล้านขวด เพื่อรองรับกับคำสั่งซื้อที่จะทยอยเพิ่มมาอีก ตราบใดที่ทั่วโลกยังมีความต้องการใช้วัคซีนโควิด-19 อยู่ ยังไม่รวมถึงเข็มฉีดยา และขวดแก้วบรรจุยาชนิดอื่นๆ การเร่งหาวัสดุทดแทนที่ตอบโจทย์การใช้งาน จึงน่าจะเป็นทางออกที่เป็นไปได้มากที่สุดที่พอจะแก้ปัญหาวิกฤติขาดแคลนทรายในเวลานี้.
...
ผู้เขียน : อาจุมม่าโอปอล
ที่มา : เดลี่เมล์, วอชิงตันโพสต์, ซีเอ็นบีซี