หน่วยงานในอิสราเอลเผย ข้อมูลเพิ่มเติมจากโครงการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ชี้ว่า วัคซีนของไฟเซอร์ป้องกันอาการป่วยได้ 94% ใกล้เคียงกับตอนทดสอบ

สำนักข่าว บีบีซี รายงานในวันที่ 15 ก.พ. 2564 ว่า ‘คลาลิต’ (Clalit) องค์กรกองทุนสุขภาพขนาดใหญ่ที่สุดในอิสราเอล เปิดเผยว่า พวกเขาตรวจสอบผู้ที่มีผลตรวจโควิด-19 เป็นบวกในกลุ่มผู้ที่ได้รับวัคซีนไปแล้วจำนวน 600,000 คน และกลุ่มผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนในจำนวนเท่าๆ กัน พบว่าอัตราการติดเชื้อในกลุ่มผู้ที่ได้รับวัคซีนมีน้อยกว่าถึง 94%

คลาลิต ระบุว่า ผลลัพธ์ดังกล่าวมาจากการตรวจสอบข้อมูลเวชระเบียนของประชาชน ที่เก็บเมื่อพวกเขามีอาการป่วยหรือติดต่อใกล้ชิดกับผู้ที่ถูกตรวจพบว่าติดเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยผลที่ออกเท่ากันในทุกช่วงอายุ รวมทั้งกลุ่มคนอายุมากกว่า 70 ปีขึ้นไป ซึ่งการทดสอบทางคลินิกของไฟเซอร์มีข้อมูลในส่วนนี้ค่อนข้างน้อย

ศ.ฮาไก เลอวีน แพทย์สาธารณสุขในอิสราเอล กล่าวว่า ข้อมูลนี้ยังไม่ได้รับการเผยแพร่อย่างเป็นทางการ แต่ก็นับเป็นการส่งข้อความถึงประเทศอื่นๆ เช่น สหราชอาณาจักร ถึงความมีประโยชน์ของวัคซีน และความจำเป็นที่ต้องฉีดให้กลุ่มที่อาจป่วยหนักเพราะโควิด-19 ให้มากที่สุด ศ.เลอวีน ย้ำด้วยว่า พวกเขายังไม่รู้ว่าวัคซีนตัวนี้ส่งผลต่อการติดต่อของโรคมากเพียงใด แต่มันสามารถป้องกันในระดับบุคคลได้

ทั้งนี้ อิสราเอลเป็นประเทศแรกของโลกที่เริ่มตรวจสอบผลกระทบที่ได้จากโครงการฉีดวัคซีน โดยเริ่มพบการลดลงของการติดเชื้อในกลุ่มผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ที่ได้รับวัคซีนก่อน และในเมืองที่ฉีดวัคซีนแก่ประชาชนก่อน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เกิดขึ้นจากการใช้มาตรการล็อกดาวน์ เป็นหลักฐานว่า เมื่อเพิ่มการฉีดวัคซีนเข้ามาจะช่วยลดจำนวนผู้ติดเชื้อได้

...

อย่างไรก็ตาม ศ.เอราน เซกัล นักวิเคราะห์ข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขอิสราเอล เตือนว่า จำนวนที่ลดลงนั้นช้ากว่าที่คาดการณ์เอาไว้ ซึ่งอาจเป็นผลกระทบจากไวรัสกลายพันธ์ุสายพันธ์ุอังกฤษ ซึ่งกำลังระบาดในอิสราเอล ศ.เซกัล เตือนอีกว่า อิสราเอลต้องออกจากการล็อกดาวน์อย่างระมัดระวัง เพราะถึงแม้ว่าการฉีดวัคซีนจะดำเนินไปอย่างรวดเร็ว แต่ยังมีคนอีกนับหมื่นที่อาจป่วยหนักหากได้รับเชื้อ.