• รัฐธรรมนูญฉบับปี 2551 กำหนดว่า กองทัพพม่ามีโควตาที่นั่ง 25 เปอร์เซ็นต์ของสภานิติบัญญัติ เป็นกลไกตามรัฐธรรมนูญที่เอื้อให้เกิดการรัฐประหารโดยไม่ต้องใช้กำลัง
  • ความจำเป็นของ มิน อ่อง หล่าย ที่จะต้องรักษาอำนาจเอาไว้ ก็เพื่อปกป้องตัวเองจากข้อกล่าวหาของรัฐบาลแกมเบียที่นำคดีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวโรฮีนจาขึ้นสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ
  • รัฐบาลซูจียังให้อำนาจแก่รัฐบาลท้องถิ่นมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การอนุมัติโครงการลงทุน และสร้างการมีส่วนร่วมให้อาสาสมัครช่วยกันควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งทำให้กองทัพมองว่า นั่นเป็นการลดบทบาทกองทัพ

คงมีคนจำนวนไม่มากนักบนโลกนี้ที่จะเชื่อว่า พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ยึดอำนาจทางการเมืองพม่าเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 เพราะพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยหรือเอ็นแอลดีของออง ซาน ซูจี โกงการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2563 แต่คนจำนวนมากเลือกที่จะเชื่อว่าเหตุผลที่แท้จริงคือ กองทัพและมิน อ่อง หล่าย เองกำลังรู้สึกไม่มั่นคงอย่างแรง เนื่องจากพบว่ากำลังจะสูญเสียอำนาจในการกุมชะตากรรมของประเทศไปต่างหาก

ความจริงกองทัพพม่าหรือที่รู้จักกันในภาษาพม่าว่า ตัตมาดอว์ มีอำนาจเหนือการเมืองมาโดยตลอดอยู่แล้ว รัฐธรรมนูญฉบับปี 2551 ซึ่งถูกเขียนขึ้นภายใต้การอำนวยการของกองทัพ ได้กำหนดว่า กองทัพมีโควตา 25 เปอร์เซ็นต์ของสมาชิกสภานิติบัญญัติ 664 ที่นั่ง (แบ่งเป็นสภาผู้แทนชนชาติจากรัฐและภาคต่างๆ 224 และสภาผู้แทนราษฎร 440 ที่นั่ง) ในฝ่ายบริหารนั้นกองทัพจะควบคุมกระทรวงความมั่นคงสำคัญคือ กลาโหม มหาดไทย และกิจการชายแดน ในส่วนประมุขของรัฐนั้น 1 ใน 2 รองประธานาธิบดีจะต้องเป็นคนจากกองทัพ ซึ่งเสนอโดยผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในส่วนของกลไกความมั่นคงนั้น สมาชิกส่วนใหญ่ของสภากลาโหมและความมั่นคงคือผู้แทนกองทัพ

...

พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย
พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย

กลไกทางด้านความมั่นคงนี้เองที่เป็นกลไกตามรัฐธรรมนูญที่เอื้อให้เกิดการรัฐประหารโดยไม่ต้องใช้กำลัง กล่าวคือ ในกรณีที่เกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน ให้ประธานาธิบดีหารือกับสภากลาโหมและความมั่นคงเพื่อประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน (มาตรา 417) ในระดับทั่วประเทศ จากนั้นให้โอนอำนาจ นิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ (มาตรา 418 a) ให้ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเพื่อบริหารประเทศต่อไป


ในสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาคือ ประธานาธิบดี วิน มินต์ ซึ่งเป็นคนของพรรคเอ็นแอลดีถูกคุมตัวพร้อมกับออง ซาน ซูจี มนตรีแห่งรัฐและรัฐมนตรีต่างประเทศ รองประธานาธิบดี มินต์ ฉ่วย ซึ่งเป็นคนของกองทัพ จึงรักษาการแทนและอาศัยอำนาจในการประกาศภาวะฉุกเฉินแล้วมอบอำนาจทั้งสามให้ มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ซึ่งได้ตั้งสภาบริหารงานแห่งรัฐขึ้นมาเป็นองค์รัฏฐาธิปัตย์ ควบคุมอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จในปัจจุบัน


ภายใต้รัฐธรรมนูญ 2551 การรัฐประหารเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แต่เหตุที่เพิ่งมาเกิดเอาตอนนี้ก็เนื่องจากว่า มิน อ่อง หล่าย จะมีกำหนดเกษียณอายุราชการในเดือนกรกฎาคม 2564 นี้ และมีความมุ่งหวังจะขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดในฐานะประมุขของรัฐ แต่เนื่องจากพรรคสหสามัคคีและการพัฒนา ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่มีกองทัพหนุนหลัง แพ้การเลือกตั้งให้กับพรรคเอ็นแอลดีอย่างยับเยินเป็นสมัยที่สอง ได้ที่นั่งรวมกันทั้งสองสภาแค่เพียง 33 ที่นั่งเท่านั้น เป็นการปิดประตูตายสำหรับนายทหารที่จะขึ้นเป็นประมุขของประเทศได้อย่างชอบธรรมตามระบบการเลือกตั้ง


ความจำเป็นของมิน อ่อง หล่ายที่จะต้องรักษาอำนาจเอาไว้ ก็เพื่อปกป้องตัวเองจากข้อกล่าวหาของรัฐบาลแกมเบียที่นำคดีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวโรฮีนจาขึ้นสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2562 ซึ่งระบุอย่างชัดเจนว่า กองทัพพม่าคือผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่ออาชญากรรมต่อต้านมนุษยชาติอันเนื่องมาจากการเป็นผู้ดำเนินนโยบายกวาดล้างชาวโรฮีนจาในเดือนสิงหาคม 2560


แม้ว่า ออง ซาน ซูจี จะออกหน้าแก้ต่างคดีในศาล แต่ มิน อ่อง หล่าย พลเอก โซ วิน รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด พลจัตวา ถั่น อู และ พลจัตวา อ่อง อ่อง ก็เป็นผู้รับผิดชอบต่ออาชญากรรมนี้โดยตรง อีกทั้งนายทหารเหล่านี้ ก็โดนประเทศตะวันตกอย่างสหรัฐอเมริกาขึ้นบัญชีดำเมื่อเดือนธันวาคม 2562 และถ้าหากพบว่าพวกเขามีทรัพย์สินในสหรัฐฯ ก็จะต้องถูกยึด


ดังนั้น หากการลงจากอำนาจทางทหารโดยไม่มีอำนาจทางการเมืองคุ้มครองเลย ก็ดูจะเป็นการเสี่ยงเกินไปสำหรับชีวิตหลังเกษียณของนายพลพม่า มิน อ่อง หล่าย จึงตัดสินใจเข้าควบคุมอำนาจ ทำให้เขากลายเป็นนายพลพม่าคนที่สาม ต่อจากเน วิน และ ตาน ฉ่วย ที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเหนือทั้งกองทัพและรัฐบาลในเวลาเดียวกัน

...


การควบคุมอำนาจแบบเบ็ดเสร็จเช่นนี้เท่านั้นที่จะทำให้กองทัพพม่ามีโอกาสหยุดการเติบโตของพลเรือน โดยเฉพาะในพรรคเอ็นแอลดีของออง ซาน ซูจี ซึ่งไม่เพียงแต่มีที่นั่งในสภาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เท่านั้น หากแต่อำนาจและทักษะในการบริหารประเทศก็แข็งแรงมากขึ้นด้วยเช่นกัน ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าพรรคเอ็นแอลดีจะไม่ได้ควบคุมกระทรวงทางด้านความมั่นคงเลย แต่กระทรวงเศรษฐกิจและกระทรวงอื่นๆ ก็ยังสามารถทำให้ซูจีและพรรคของเธอได้รับคะแนนนิยมทางการเมือง และควบคุมกลไกการปกครองประเทศไปพร้อมๆ กับการขยายฐานทางการเมืองไปด้วย

การประท้วงต่อต้านรัฐประหาร ที่กองทัพพม่ายึดอำนาจรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
การประท้วงต่อต้านรัฐประหาร ที่กองทัพพม่ายึดอำนาจรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง

กล่าวคือ รัฐบาลซูจีให้อำนาจแก่รัฐบาลท้องถิ่นระดับรัฐและภาคมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การอนุมัติโครงการลงทุน นอกจากนี้ ยังขยายฐานมวลชนด้วยการให้อาสาสมัครสาธารณสุขและครู มีส่วนร่วมในการดำเนินงานของรัฐในการควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งทำให้กองทัพมองว่า นั่นเป็นการเอื้อประโยชน์ในการเลือกตั้งให้กับพรรคเอ็นแอลดี และลดบทบาทกองทัพ ที่เคยเป็นหน่วยการปกครองและบริหารประเทศมาโดยตลอด

...


หากว่า มิน อ่อง หล่าย ปล่อยให้ออง ซาน ซูจี และพรรคเอ็นแอลดีบริหารประเทศอีกหนึ่งสมัยคือ 5 ปี น่ากลัวว่ากองทัพอาจจะต้องถอยร่นออกจากการเมืองไป ซึ่งนั่นไม่เพียงแต่จะสูญเสียอำนาจเท่านั้น บรรดาความมั่งคั่งและทรัพย์สินเงินทองที่กองทัพและนายพลครอบครองอยู่อาจจะต้องถูกตรวจสอบอีกด้วย


บทความโดย สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี