รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ โทรศัพท์คุยกับทูตระดับสูงของจีนครั้งแรกในยุครัฐบาลไบเดน โดยจีนกล่าวหาสหรัฐฯ เป็นต้นเหตุให้ความสัมพันธ์ตกต่ำ ย้ำอย่ายุ่งเรื่องไต้หวัน-ฮ่องกง

สำนักข่าว ซีเอ็นเอ็น รายงานว่า นายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศคนใหม่ของสหรัฐฯ โทรศัพท์พูดคุยกับนายหยาง เจี๋ยฉื่อ ที่ปรึกษาฝ่ายนโยบายต่างประเทศของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ทั้งสองฝ่ายติตต่อหากันในยุครัฐบาลโจ ไบเดน โดยจีนกล่าวโทษสหรัฐฯ ว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายตกไปอยู่จุดต่ำสุดในรอบหลายสิบปี และปฏิเสธเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากนานาชาติในเรื่องนโยบายเกี่ยวกับซินเจียงและฮ่องกงด้วย

แถลงการณ์ที่เผยแพร่โดยกระทรวงต่างประเทศจีน เมื่อวันเสาร์ที่ 6 ก.พ. 2564 ระบุว่า นายหยางเรียกร้องต่อนายบลิงเคนระหว่างการพูดคุยทางโทรศัพท์เมื่อ 1 วันก่อนหน้านี้ ให้สหรัฐฯ แก้ไขความผิดหลายอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา และทำงานร่วมกับจีนเพิ่มส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ อย่างแข็งแรงและยั่งยืน ด้วยการยึดมั่นในหลักการของ การไม่ขัดแย้ง, การไม่เผชิญหน้า, เคารพซึ่งกันและกัน และความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย

นายหยางยังเน้นย้ำด้วยว่า ทั้งสองฝ่ายควรเคารพแกนผลประโยชน์ของอีกฝ่าย เช่นเดียวกับระบบการเมืองและการพัฒนาไปในเส้นทางที่พวกเขาเลือก “แต่ละฝ่ายควรสนใจการดูแลกิจการภายในของตัวเอง จีนจะเดินไปตามเส้นทางของระบบสังคมนิยมอย่างมั่นคง พร้อมด้วยลักษณะเฉพาะของจีน และไม่มีใครสามารถหยุดการฟื้นฟูชาติอันยิ่งใหญ่ของจีนได้”

ทั้งนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ เลวร้ายลงในยุคการปกครองของรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมีปัญหาขัดแย้งกับจีนในหลายประเด็น ทั้งการค้า, เทคโนโลยี, ความมั่นคงในภูมิภาค และสิทธิมนุษยชน ซึ่งนายหยางระบุด้วยว่า ยังมีปัจจัยที่ทำให้ความตึงเครียดระหว่างสองประเทศดำเนินต่อไปอีกหลายข้อ รวมทั้งเรื่อง ไต้หวัน ซึ่งจีนถือเป็นดินแดนของพวกเขา ที่สักวันจะกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง

...

จีนยกระดับความเคลื่อนไหวทางทหารในน่านน้ำและน่านฟ้าใกล้ไต้หวันขึ้นอย่างมากนับตั้งแต่ โจ ไบเดน รับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าเป็นความพยายามส่งข้อความถึงรัฐบาลใหม่ของสหรัฐฯ ว่าจีนจะไม่ละทิ้งการอ้างอธิปไตยเหนือดินแดนแห่งนี้

นายหยางยังเตือนนายบลิงเคนว่า ปัญหาเกี่ยวกับ ฮ่องกง, ซินเจียง และทิเบต เป็นกิจการภายในของจีน และพวกเขาจะไม่ยอมทนต่อการแทรกแซงจากภายนอก อนึ่ง จีนถูกรัฐบาลทรัมป์กล่าวหาว่า กระทำการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุชาวมุสลิมอุยกูร์ และชนกลุ่มน้อยในซินเจียง และนายบลิงเคนเคยออกมาบอกว่า เขาเห็นด้วยกับข้อกล่าวหานี้ ขณะที่กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ เคยประเมินเอาไว้ว่า ชาวอุยกูร์กว่า 2 ล้านคน รวมทั้งสมาชิกชนกลุ่มน้อยมุสลิมถูกควบคุมตัวไปขังไว้ที่ค่ายกักกัน แต่จีนอ้างว่าเป็นค่ายฝึกอบรมและให้การศึกษาตามความสมัครใจ

ด้านนายบลิงเคนย้ำว่า สหรัฐฯจะยืนหยัดต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนและหลักการของประชาธิปไตยต่อไป รวมทั้งในเรื่องของซินเจียง, ทิเบต และฮ่องกง และพยายามกดดันให้จีนร่วมกับประชาคมนานาชาติ ประณามการก่อรัฐประหารของกองทัพเมียนมา นายบลิงเคนยืนยันอีกว่า สหรัฐฯจะทำงานร่วมกับพันธมิตรและหุ้นส่วนต่างๆ เพื่อให้จีนต้องรับผิดชอบต่อการคุกคามเสถียรภาพในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก และในพื้นที่ช่องแคบไต้หวันด้วย.