เมื่อวานผมรับใช้ว่า นอกจากกองทัพจะไม่พอใจ กกต.เมียนมาที่ตั้งโดยรัฐบาลจากพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยของนางอองซานซูจีแล้ว กองทัพยังตระหนกตกใจเรื่องความแข็งแกร่งทางการเมืองของพรรคสันนิบาตแห่งชาติฯ ที่มีเพิ่มขึ้นอีกด้วย

กองทัพเมียนมาไม่กล้าพูดว่าตนทำปฏิวัติรัฐประหาร เพียงแต่บอกว่า กองทัพประกาศใช้ภาวะสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นเวลา 1 ปี หลังจากนั้นก็จะปฏิบัติตามระบอบประชาธิปไตยแบบ ‘พหุพรรค’ และให้สัญญาว่าจะจัดการเลือกตั้งที่เสรีและยุติธรรมก่อนจะส่งมอบอำนาจให้แก่พรรคที่ชนะการเลือกตั้ง ถึงแม้ไม่ประกาศว่าทำรัฐประหาร แต่การปลดรัฐมนตรี 24 คน แล้วแต่งตั้งประธานาธิบดีรักษาการและรัฐมนตรีกลาโหม มหาดไทย พรมแดน คลัง ต่างประเทศและสาธารณสุข นี่ก็คือการรัฐประหารนั่นละครับ

ความเห็นส่วนตัว ผมว่าทหารเมียนมากลัวพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยซึ่งนับวันก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ขนาดกองทัพขุดหลุมดักนางอองซานซูจีจนโดนข้อครหาว่าไม่แสดงความรับผิดชอบต่อเหตุฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวโรฮิงญา นางซูจีเสียชื่อเสียงในระดับนานาชาติและถูกยึดรางวัลที่เคยได้มามากมายจากหลายสถาบัน

แต่พอถึงคราวเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2563 พรรคสันนิบาตแห่งชาติฯ ก็ยังชนะเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย ได้ผู้แทนในปยีตูลุดอ (สภาผู้แทนราษฎร) 396 ที่นั่ง จากทั้งหมด 498 ที่นั่ง (เพิ่มจากการเลือกตั้งเมื่อ พ.ศ.2558) ส่วนพรรคสหสามัคคีและการพัฒนาของทหารได้ ส.ส.เพียง 26 ที่นั่ง และสมาชิกจากอมโยตาลุดอ (สภาชาติพันธุ์) เพียง 7 ที่นั่ง แม้แต่ในเขตเนปีดอว์ซึ่งมีกรมกองของทหารตั้งอยู่ พรรคสันนิบาตแห่งชาติฯ ก็ยังชนะ

เรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงการเลือกตั้งพม่าสมัย พ.ศ.2503 ตอนนั้น อูนุแยกตัวจากพรรคสันนิบาตเสรีภาพประชาชนต่อต้านฟาสซิสต์มาตั้งพรรคใหม่ที่ชื่อ Clean AFPFL แล้วก็ชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย ทำให้นายพลเนวินระแวงและยึดอำนาจการปกครองเมื่อ 2 มีนาคม 2505

...

ผู้นำทหารพม่าหลายคนมีนิสัยแพ้ไม่เป็น ปลาย พ.ศ.2520 นายพลเนวินเกษียณจากกองทัพจึงมีตำแหน่งเพียงเป็นผู้นำพลเรือนในพรรคโครงสร้างสังคมนิยมพม่า เมื่อมีการออกเสียงเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรค ปรากฏว่านายพลเนวินได้คะแนนเป็นอันดับ 3 นายพลเนวินไม่ยอม สั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่จนกว่าตัวเองจะได้คะแนนเป็นอันดับ 1

พ.ศ.2531 เกิดจลาจลครั้งใหญ่ทั่วประเทศ ทหารเข้ามาปกครองประเทศครั้งใหม่ด้วยการยกเลิกพรรคโครงสร้างสังคมนิยมพม่า แล้วตั้งสภาฟื้นฟูกฎหมายและความเป็นระเบียบแห่งรัฐหรือสลอร์กแทน ต่อมาทหารก็เปลี่ยนจากสลอร์กไปเป็นสภาสันติภาพและการพัฒนาแห่งรัฐ หรือ SPDC แล้วยอมให้มีการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อ 27 พฤษภาคม 2533 โดยคิดว่าพื้นฐานต่างๆที่ตัวเอง วางไว้จะสามารถทำให้ตัวเองชนะเลือกตั้งและได้ครองอำนาจต่อ

การเลือกตั้งครั้งนั้น พรรคของซูจีได้ ส.ส. 392 คน (จาก 485 คน) ส่วนพรรคสามัคคีแห่งชาติของทหารได้เพียง 10 ที่นั่ง ทหารพม่าตกใจจนตาถลนออกมานอกเบ้าว่า เฮ้ย เป็นไปได้อย่างไร แม้แต่ในเขตดากองของกรุงย่างกุ้งซึ่งเป็นที่ตั้งกองบัญชาการของสลอร์ก พรรคของซูจีก็ยังชนะ แสดงว่าทหารจำนวนไม่น้อยโหวตให้พรรคของนางซูจี พอถึงคราวจะประชุมสภา ทหารจึงจับ ส.ส. ไป 60 คน ข้อหาขาดคุณสมบัติ แล้วกักขังซูจีไว้ในบ้านพักโดยไม่มีกำหนด

พ.ศ.2550 มีการปฏิวัติผ้าเหลือง พระภิกษุเข้าร่วมจลาจลครั้งใหญ่ ทหารจึงต้องร่างรัฐธรรมนูญและมีการเลือกตั้งเมื่อ พ.ศ.2553 ตอนนั้น นายพลเต็งเส่งเป็นประธานาธิบดี การเลือกตั้ง พ.ศ.2558 นางซูจีขึ้นครองอำนาจ

พ.ศ.2563 การเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคของนางซูจียังชนะถล่มทลาย คืนวันที่ 31 มกราคม 2564 ส.ส.ใหม่หลายคนไปตัดผมตัดเผ้า เตรียมชุดใหม่ หวังว่าวันรุ่งขึ้นคือวันที่ 1 กุมภาพันธ์จะเข้าพิธีเปิดปยีดองซูลุดอ (รัฐสภาแห่งสหภาพ)
แต่ทุกคนกินแห้ว เพราะกองทัพประกาศใช้สถานการณ์ฉุกเฉินเป็นเวลา 1 ปี

ซ้ำรอยเหตุการณ์เมื่อ พ.ศ.2505 และ พ.ศ.2533.

นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัย
songlok1997@gmail.com