ข้อเก้า ถอดบทเรียนความผิดพลาดในอดีต ล้มแล้วต้องลุกให้ไว และไม่ทำผิดซ้ำอีก เช่น เหตุการณ์เทียนอันเหมิน จีนจึงระมัดระวังไม่ใช้ความรุนแรงในการจัดการการประท้วงในฮ่องกง
ข้อสิบ จุดประกายให้คนในชาติมี “ความฝัน” ร่วมกัน (Zhong Guo Meng) ใน 2 วาระสำคัญ คือ 1 ต้องบรรลุเป้าหมาย “สังคมเสี่ยวคัง” พออยู่พอกินถ้วนหน้า และ 2 ต้องบรรลุเป็นประเทศสังคมนิยมที่แข็งแกร่ง ทันสมัย ร่ำรวย มีอารยธรรม ให้จีนกลับมายิ่งใหญ่ในระดับโลกอีกครั้ง
ข้อสิบเอ็ด เน้นการแข่งขันและเปิดรับแรงกดดันจากภายนอก เพื่อเอกชนจีนต้องตื่นตัว/ปรับตัวเพื่อความอยู่รอดและเพื่อเอาชนะ
ข้อสิบสอง ใช้ความเด็ดขาดในการกลั่นกรอง สื่อ/ปิดกั้นสื่อ โดยเฉพาะการปิดกั้นสื่อโซเชียลมีเดียจากต่างประเทศ
อย่างไรก็ดี หนึ่งในจุดอ่อนสำคัญของระบอบฯ ของจีน คือความเสี่ยงจากการยึดตัวบุคคล/ผู้นำเป็นใหญ่ และไร้กลไกการตรวจสอบหรือคานอำนาจ ซึ่งอาจะนำไปสู่ลัทธิบูชาบุคคล รวมทั้งการเปิดให้ผู้นำอยู่ในอำนาจแบบไร้วาระ ให้อำนาจ แก่ผู้นำหรือคณะผู้นำมากเกินไป
หากมีผู้นำเผด็จการ/หลงอำนาจ ได้ก้าวขึ้นมา เป็นผู้นำพรรค และเน้นแสวงผลประโยชน์เพื่อพวกพ้องตนเอง โดยไม่มีกลไกตรวจสอบ พรรคคอมมิวนิสต์ของจีนก็อาจจะหมดความชอบธรรม จนถึงประชาชนลุกฮือประท้วงต่อต้าน (ไม่ว่าทางตรง หรือทางอ้อม) ในที่สุด
นอกจากนี้ พรรคคอมมิวนิสต์จีนก็เคยผิดพลาดบนเส้นทางที่ดำเนินมาในรอบ 100 ปีนี้ โดยเฉพาะการปฏิวัติวัฒนธรรมในยุคเหมาเจ๋อตุงที่ไปนำไปสู่ความวุ่นวาย และฉุดรั้งให้ประเทศจีนล้าหลังไปนานนับ 10 ปี รวมถึงความผิดพลาดในการจัดการเหตุการณ์เทียนอันเหมิน จนหลายประเทศรุมประณาม
โดยสรุป แม้ว่าระบอบคอมมิวนิสต์ในแบบจีนอาจจะไม่ใช่ระบอบการเมืองการปกครองที่ดีที่สุดในโลก แต่นับว่าเป็นรูปแบบการปกครองที่เหมาะสมกับ “บริบทจีน” ที่มีประชากรจำนวนมาก และมีความหลากหลายสูง มีเนื้อที่กว้างใหญ่และมีความแตกต่างหลากหลายของทรัพยากรแต่ละพื้นที่
...
ดังนั้น ความเฉียบขาดในการเน้น “รักษาเสถียรภาพ” อย่างต่อเนื่อง และการปลูกฝังความรักชาติ จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประเทศจีนภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์จีนสามารถดึงศักยภาพของคนในชาติและสร้างพลังทางเศรษฐกิจเพื่อขับเคลื่อนประเทศให้เติบใหญ่อย่างก้าวกระโดดมาได้จนถึงทุกวันนี้.