การเดินบนเส้นทางผิดกฎหมายย่อมมีจุดจบไม่สวย เฉพาะอย่างยิ่งในแวดวง “ยาเสพติด” ที่ถึงจะอู้ฟู่ร่ำรวยมหาศาล แต่สุดท้ายก็ลงเอยกลายเป็นศพข้างถนน หรือใช้ชีวิตที่เหลือในคุกในตะราง เหมือนกรณี “เจ๋อ ชือ ลอป” เจ้าพ่อยาเสพติด
ผู้คร่ำหวอดในวงการมานานนับทศวรรษ ที่จนมุมตำรวจในที่สุด เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา

โดยถือเป็นการจับกุมที่มีความสำคัญยิ่ง เพราะชายวัย 56 ปีรายนี้ คือ อภิมหามาเฟียระดับภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก และเชื่อว่าเป็นตัวการที่ทำให้ยาเสพติดทะลักไปทุกหย่อมหญ้า ด้วยการเป็น “ต้นน้ำ” ผลิตยานรกป้อนเข้าสู่ตลาดโลก ทั้งยาไอซ์ ยาบ้า เคตามีน และเฟนทานิล (สารสังเคราะห์ที่แรงกว่ามอร์ฟีน 80 เท่า)

เกิดที่เมืองกวางโจว มณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน เมื่อปี 2506 เริ่มเส้นทางอาชญากรรมด้วยการเข้าร่วมเป็นสมาชิกแก๊ง “บิ๊ก
เซอร์เคิล” ซึ่งเป็นแหล่งรวมตัวของอดีตกลุ่มเรด การ์ด อันอื้อฉาวในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรมจีน ลักลอบและดูแลการขนย้ายยาเสพติดในฮ่องกง ก่อนย้ายถิ่นฐานไปถือสัญชาติพลเมืองแคนาดา ที่นครโตรอนโต

ในช่วงปี 2540 เจ๋อ ชือ ลอป ถูกตัดสินจำคุก 9 ปี ในสหรัฐอเมริกา จากการลักลอบขนยาเสพติดร่วมกับตระกูลมาเฟียซิซิลี “ริซซูโต” ในเมืองมอนทรีออล แต่ปรากฏว่าหลังรับอิสรภาพ กลุ่มมาเฟียซิซิลีได้เกิดความขัดแย้งภายใน แกนนำถูกลอบสังหารอย่างต่อเนื่อง ขณะที่เจ้าตัวกลับผงาดขึ้นมาเป็นผู้ทรงอิทธิพล

จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจพบว่า ไม่นานหลังออกจากคุก เจ๋อ ชือ ลอป ได้กลายเป็นตัวตั้งตัวตีในการนัดเจรจาสันติภาพ ระหว่าง 5 ตระกูลใหญ่มาเฟียเอเชีย อันประกอบไปด้วยแก๊ง “บิ๊ก เซอร์เคิล” “14K” “โว ชิง โว” “ซุน ยี อง” ในฮ่องกง-มาเก๊า และ “แบมบู ยูเนียน” ในไต้หวัน

...

และได้ผลลัพธ์อันน่าสะพรึงกลัว ทั้ง 5 แก๊งตัดสินใจลืมความบาดหมาง การรบราฆ่าฟันกันในอดีต ขอมองผลประโยชน์ในอนาคต ร่วมกันผลิตยานรกตอบสนองความ ต้องการของตลาดโลก พร้อมสถาปนาจัดตั้งเครือข่ายใหม่ สำหรับดูแลผลประโยชน์ การผลิตยาเสพติดจากการสังเคราะห์เคมีภัณฑ์ภายใต้ชื่อแก๊ง “ซัมเกอ” หรือแก๊งพี่สาม (แต่สมาชิกจะเอ่ยสั้นๆว่าบริษัท) โดยมีเจ๋อ ชือ ลอป เป็นตัวสั่งการ

ข้อมูลสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ระบุ ในระยะแรกมีหลักฐานบ่งชี้ว่า โรงงานผลิตยาเสพติดของแก๊งซัมเกอ เริ่มที่ภาคใต้ของประเทศจีน ก่อนย้ายฐานมายังพื้นที่ “สามเหลี่ยมทองคำ” รอยต่อพรมแดนเมียนมา-ไทย-ลาว โดยได้รับความคุ้มครองจากกองกำลังติดอาวุธท้องถิ่น

กำไรจากการค้ายาเสพติดของเครือข่ายซัมเกอนั้นมหาศาลนัก จากประมาณการของยูเอ็นระบุว่า รายได้ของแก๊งซัมเกอตกอยู่ที่ 17,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือกว่า 513,300 ล้านบาทต่อปี ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด เพราะอย่าง “ยาไอซ์” ที่ในเมียนมามีราคาประมาณ 1,800 ดอลลาร์ (52,200 บาท) ต่อกิโลกรัม อาจกลายเป็น 70,500 ดอลลาร์ (2.04 ล้านบาท) ต่อกิโลกรัมในประเทศไทย ก่อนจะทวีคูณขึ้นไปอีก กลายเป็น 298,000 ดอลลาร์ (8.64 ล้านบาท) ต่อกิโลกรัมในออสเตรเลีย และราว 588,000 ดอลลาร์ (17 ล้านบาท) ต่อกิโลกรัมในญี่ปุ่น เพิ่มกว่า 300 เท่าจากแหล่งต้นทาง

“ด้วยเหตุที่กำไรสูงระดับนี้ จึงทำให้เครือข่ายยกระดับกำลังการผลิต และป้อนยาเข้าสู่ตลาดโลกโดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย หากถูกเจ้าหน้าที่ชุดปราบปรามยาเสพติด หรือตำรวจท้องที่สกัดจับได้ สิ่งที่ต้องทำก็เพียงส่งยาชุดใหม่ออกไป ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เพราะยังไงก็ไม่ขาดทุน ขอเพียงให้ยาส่งไปถึงตลาดหลักๆอย่างออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่นได้ก็เป็นพอ”

และสิ่งที่สำคัญอีกประการคือกลุ่มซัมเกอไม่ได้เป็นเพียงเครือข่ายเดียว ยังร่วมมือกับเครือข่ายแก๊ง “ยากูซ่า” ในญี่ปุ่น และประสานงานกับเครือข่ายแก๊ง “มอเตอร์ไซค์” ของออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ซึ่งฝ่ายหลังนี้มีการขยายตัวเข้ามาตั้งสาขาแก๊งมอเตอร์ไซค์ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยเช่นกัน

มีการประเมินว่า หากการจับกุมเจ๋อ ชือ ลอป มีผลกระทบต่อเครือข่ายยาเสพติดซัมเกอ สิ่งที่จะตามมาคือ การปะทะกันระหว่างกองทัพเมียนมากับกองกำลังในรัฐฉาน ที่ต่างมีผลประโยชน์ในการค้ายาเสพติด และการแย่งชิงผลประโยชน์ยาเสพติด ถือเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของความรุนแรงในรัฐฉาน ย้อนไปตั้งแต่ปี 2493 ช่วงต้นสงครามเย็นในสมัยที่พรรคก๊กมินตั๋งของจีน (ที่ต่อมาได้พ่ายแพ้ต่อพรรคคอมมิวนิสต์จีน) ยังมีอิทธิพลในเมียนมา

แต่ถ้าสถานการณ์เงียบสงัด ก็แสดงว่าลงเอยเหมือนทุกครั้ง กองทัพในรัฐฉานและตะเข็บพรมแดนยังคงได้กำไรจากการค้ายาเสพติดเหมือนที่ผ่านมา ขณะที่แก๊งซัมเกออาจมีการปรับโครงสร้างบ้างไม่มากไม่น้อย

และเจ๋อ ชือ ลอป ก็จะเหลือค่าแค่ “ฟันเฟือง” ตัวหนึ่งของเครือข่ายยาเสพติดข้ามชาติ ที่สุดท้ายแล้ว ไม่จำเป็นต้องรักษาไว้ สามารถถอดเปลี่ยนได้ตลอดเวลา.

วีรพจน์ อินทรพันธ์