เกือบทุกครั้งที่คนจากพรรคเดโมแครตชนะเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ภาพลักษณ์ของประเทศนี้ก็ดูจะเป็นมิตรกับชาวโลกมากกว่าคนจากพรรครีพับลิกัน ผมขอยกตัวอย่างประธานาธิบดี 3 คนล่าสุดของเดโมแครต ตั้งแต่บิล คลินตัน บารัค โอบามา และโจ ไบเดน

คลินตัน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 42 อายุตอนที่เริ่มดำรงตำแหน่งเพียง 40 ปีเศษ หนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยวและการศึกษาดี แม้ว่าตอนลงจากตำแหน่งจะเซด้วยเรื่องชู้สาวกับพอลลา โจนส์ และโมนิกา ลูวินสกี แต่ก็รอดจากการถูกถอดถอนจากตำแหน่ง และสามารถยุติคดีต่างๆได้

บารัค โอบามา ก็เป็นลูกครึ่งอเมริกัน-แอฟริกัน มีพ่อมาจากเคนยา ภาพลักษณ์การส่งเสริมความเท่าเทียมกันทางสีผิว เผ่าพันธุ์ ของสหรัฐฯสูงมากในยุคนี้ 8 ปีของการดำรงตำแหน่งของโอบามาราบรื่นและไม่มีเรื่องอื้อฉาว ทั้งที่สื่อพยายามสร้างภาพลักษณ์คาสโนวาให้โอบามา เช่น ตอนที่โอบามาพบกับนางซูจี หรือตอนพบกับอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ของไทย แต่ก็ไม่สำเร็จ

ปัจจุบันเป็นยุคของโจ ไบเดน แม้ว่าจะอายุมาก แต่ก็เป็นคนมีเสน่ห์ ที่ช่วยได้มากก็คือการแต่งตั้งนางกมลา เทวี แฮร์ริส เป็น รองประธานาธิบดีสตรีคนแรกในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ นอกจากนั้น แฮร์ริสก็ยังเป็นสตรีเชื้อสายเอเชียคนแรกที่เคยดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐฯ

นอกจากได้คะแนนคนยากคนจนและสตรีแล้ว ไบเดนยังได้ความนิยมจากกลุ่มข้ามเพศจากการเลือก ดร.เรเซล เลอวีน แพทย์ใหญ่รัฐเพนซิลเวเนีย ให้เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ดร.เลอวีนนี่ละครับ จะเป็นสตรีข้ามเพศคนแรก ที่นั่งในคณะรัฐมนตรีสหรัฐฯ ในขณะที่โลกและสหรัฐฯกำลังเผชิญกับวิกฤติโควิด-19 ซึ่งภาพลักษณ์การแก้ไขปัญหาโควิด-19 ของสหรัฐฯในช่วงประธานาธิบดีทรัมป์แย่มาก ขณะที่ ดร. เลอวีนเป็นสัญลักษณ์ของการรับมือกับการระบาดของโควิด-19 ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา

...

คณะรัฐมนตรีสหรัฐฯของไบเดน ยังมีพลเอกลอยด์ ออสติน เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม คนที่ 28 ทั้งที่ข้อกำหนดของทหารที่จะมาดำรงตำแหน่งทางการเมืองของสหรัฐฯจะต้องผ่านการเกษียณมาแล้วอย่างน้อย 7 ปี แต่ในกรณีของพลเอกออสติน วุฒิสมาชิกทั้งจากพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันมีมติเห็นชอบยกเว้นข้อกำหนด และมีมติให้เป็นรัฐมนตรีกลาโหมด้วยเสียงท่วมท้น 93 ต่อ 2 เสียง

สิ่งที่น่าสนใจของพลเอกออสตินก็คือ แกเป็นคนผิวสี หมายความว่า พลเอกออสตินเป็นรัฐมนตรีกลาโหมผิวสีคนแรก ของสหรัฐฯ คณะรัฐมนตรีของไบเดนจึงเต็มไปด้วยคนแรกของประวัติศาสตร์ในเรื่องต่างๆ ทั้งรองประธานาธิบดีสตรีและมีเชื้อสายเอเชียคนแรก รัฐมนตรีกลาโหมผิวสีคนแรก ผู้ช่วยรัฐมนตรีข้ามเพศคนแรก นี่ละครับ สิ่งที่ปกป้องสหรัฐฯไม่ให้ถูก โจมตีจากประชาชนคนทั้งโลกในเรื่องสิทธิความเท่าเทียมกันของเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ผิวสี และเพศ

ผิดกับในยุคของทรัมป์ที่ลัทธิความสูงส่งของคนผิวขาว หรือ white supremacy มาแรงมาก ในห้วงช่วง 4 ปีที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่ง พวกนิยมลัทธิความสูงส่งของคนผิวขาวมักจะก่อเหตุรุนแรง ทำร้ายคนต่างสีผิวตามที่สาธารณะและปรากฏเป็นคลิปไวรัลในโซเชียลมีเดียแพร่กระจายขยายไปทั้งโลก

4 ปีของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของทรัมป์ได้นำลัทธิความสูงส่งของคนผิวขาวกลับมางอกเงยอีกครั้ง ซึ่งก่อนหน้านั้นหลายสิบปีที่ลัทธินี้เจือจางจากสังคมอเมริกัน ใครพูดหรือเลือกปฏิบัติในการเหยียดผิวก็จะถูกประณามจากสังคมอเมริกันอย่างรุนแรง หรือใช้กฎหมายเข้ามาจัดการอย่างเข้มงวด

นอกจากทรัมป์แล้ว ก่อนหน้านี้ มีกระแสการเลือกผู้นำที่มี ลักษณะแข็งกร้าว ไม่ยอมคน แพร่กระจายไปในหลายประเทศ ที่เห็นชัดเจนก็คือฟิลิปปินส์ซึ่งเป็นอดีตอาณานิคมของสหรัฐฯ ที่เลือกดีกง หรือนายโรดรีโก โรอา ดูแตร์แต เป็นประธานาธิบดี คนที่ 16

รัฐบาลใหม่ของสหรัฐฯจะช่วยให้กระแสของโลกนุ่มนวลขึ้น.

นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัย
songlok1997@gmail.com