เอ-7ดี คอร์แซร์ ทู เครื่องบินโจมตีของ ทอ.สหรัฐฯ เด่นที่แม่นยำ ทรหด บรรทุกระเบิดได้มาก ดีต่อการสนับสนุนอย่างใกล้ชิด มีระบบนำร่องเดินอากาศดี เคยมาอยู่ฐานบินโคราช มีผลงานมากมายในสงครามเวียดนาม

  • เอ-7 ดี ของ ทอ.สหรัฐ ถูกพัฒนามาจาก เอ-7 เอ บี และ ซี ของกองทัพเรือ
  • จำนวนระเบิดที่ถูกทิ้งที่ฮานอย เอ-7 ดี เป็นรองแค่ บี-52
  • เอ-7ดี มีส่วนร่วมในโครงการลับเครื่องบินสเตลธ์ เอฟ-117

เครื่องบินในตำนานสัปดาห์นี้ เป็นหนึ่งในสุดยอดเครื่องบินโจมตีไอพ่น ที่ออกแบบมาเพื่อสนับสนุนทางอากาศในระยะใกล้ชิดของกองทัพอากาศสหรัฐฯ มันคือ LTV A-7 Corsair II (ลิง-เทมโค โว้กท์ เอ-7 ดี คอร์แซร์ ทู) ทดแทนเครื่องบินรุ่นพี่แบบ เอ-1 สกายเรเดอร์ หรือ ที่เรียกกันติดปากว่า “แซนดี้” และ เครื่องบินขับไล่โจมตี ของแอร์เนชั่นแนลการ์ดแบบ เอฟ-100 ซูเปอร์เซเบอร์ ที่สร้างวีรกรรมไว้ในสงครามเวียดนาม และเริ่มล้าสมัย ไม่สามารถรับมือกับภัยคุกคามใหม่ๆ

ต้นกำเนิดแห่ง คอร์แซร์ ทู

...

แต่เดิม เอ-7 คอร์แซร์ ทู เป็นเครื่องบินของกองทัพเรือสหรัฐฯ ที่สร้างมาทดแทนเครื่องบินโจมตีประจำเรือบรรทุกเครื่องบินแบบ ดักกลาส เอ-4 สกายฮอว์ก ในปี 1964 โดยการออกแบบจะเป็นการนำเอาต้นแบบมาจากเครื่องบินขับไล่ไอพ่นประจำเรือบรรทุกเครื่องบิน แบบ เอฟ-8 ครูเซเดอร์ เครื่องบินขับไล่กองทัพเรือ ที่มีปืนกลอากาศ รุ่นสุดท้ายที่ร่วมรบในสงครามเวียดนาม ด้วยรูปร่างที่เล็ก บินในความเร็วต่ำกว่าเสียง โครงสร้างที่ผลิตง่าย ต้นทุนไม่สูง ทำให้ เอ-7 ตรงกับความต้องการของกองทัพเรือสหรัฐฯ และเริ่มผลิตเข้าประจำการในปี 1967 และเข้าสู่สงครามเวียดนามในปี 1968

เอ-7 ถูกออกแบบให้สามารถพับปีกได้ เพื่อประหยัดพื้นที่จอด มีฐานล้อแข็งแรง 3 จุดพร้อมล้อหน้าคู่เพื่อลดแรงเครียดเมื่อใช้เครื่องดีด พร้อมตะขอเกี่ยวเพื่อลงจอดบนเรือบรรทุกเครื่องบิน สามารถติดอาวุธได้ 6 จุดใต้ปีกทั้ง 2 ข้าง มันสามารถบรรทุกอาวุธได้หนัก 15,000 ปอนด์ หรือ น้ำหนักบรรทุกมากกว่า เครื่องบินแบบ เอ-4 ถึง 2 เท่า และ ในจำนวนน้ำหนักบรรทุกเท่ากัน เอ-7 ทำระยะปฏิบัติการไกลเป็น 2 เท่าของเอ-4 อี สกายฮอว์ก ด้วย ห้องนักบินของเอ-7 มีทัศนวิสัยที่ดี การลงจอดทำได้อย่างมั่นคง แม้แต่สภาพอากาศไม่ดี มีลมตัดขวางสนามบิน หรือ พื้นรันเวย์ที่เปียกแฉะ เนื่องจากมีระบบต้านการลื่นไถลทำให้ลงจอดได้มั่นคง

ปัญหาเครื่องยนต์ได้ถูกแก้ไข

แต่ใน เอ-7 รุ่นเอ มีปัญหาเครื่องยนต์กำลังขับไม่เพียงพอเมื่อเดินรอบต่ำ เพราะในรุ่นแรกใช้เครื่องยนต์เทอร์โบแฟนแบบ Pratt & Whitney TF30-P-6 จำนวน 1 เครื่องยนต์ ให้กำลังขับ 50.5 กิโลนิวตัน แทนเครื่องยนต์เทอร์โบเจ็ตรุ่น Pratt & Whitney J57-P-20A ของ เอฟ -8 แบบเก่าที่ใช้อาฟเตอร์เบิร์นเนอร์ และการที่มันบินเร็วแค่ต่ำกว่าเสียง จึงไม่จำเป็นต้องมีอาฟเตอร์เบิร์เนอร์ หรือสันดาปท้ายช่วยเร่งความเร็ว

ต่อมาในเอ-7 รุ่นดีและอี มีการเปลี่ยนเครื่องยนต์เป็นแบบใหม่ที่มีกำลังขับสูงขึ้น โดยมีการคัดเลือกจาก Pratt & Whitney TF30-8 และ อัลลิสัน TF41-A-2 ที่เป็นเครื่องยนต์ไอพ่นภายใต้สิทธิบัตรเครื่องยนต์ สเปย์ ของโรลส์รอยซ์ โดยการเลือกใช้ เครื่องยนต์ อัลลิสัน TF41-A-2 ทำให้แก้ปัญหาที่กวนใจการใช้งานมานาน นั่นคือ เครื่องบินสูญเสียแรงขับและกำลังขับต่ำได้อย่างดี เพราะเครื่องยนต์รุ่นนี้ให้แรงขับเพิ่มเป็น 66.7 กิโลนิวตัน

การเข้ามาสู่กองทัพอากาศของ เอ-7 ดี

...

กองทัพอากาศสหรัฐฯ ต้องการเครื่องบินปีกตรึงที่มีสมรรถนะสูงในการสนับสนุนทางอากาศอย่างใกล้ชิด ความเร็วต่ำกว่าเสียง โว้กท์ เอ-7 คอร์แซร์ ทู เป็นตัวเลือกที่ตรงโจทย์ที่น่าพึงพอใจที่สุด และราคาการพัฒนาก็ไม่แพง ในปี 1965 จึงมีการสั่งซื้อจากกองทัพอากาศ สำหรับจัดหาร โว้กท์ เอ-7 ดี คอร์แซร์ ทู เพื่อใช้ในกองบัญชาการยุทธทางอากาศ Tactical Air Command (TAC)

เอ-7 ดี แตกต่างจาก เอ-7 เอ/ซี ของกองทัพเรือในช่วงนั้นหลายอย่าง โดยรุ่น ดี มีกำลังขับเครื่องยนต์มากกว่ารุ่นเอ เพราะใช้เครื่องยนต์เทอริโบแฟน อัลลิสัน TF41-A-1 ที่ให้แรงขับ 64 กิโลนิวตัน มากกว่าเครื่องยนต์ TF30 ที่กองทัพเรือใช้ ส่วนต่อมาคือ ติดจอภาพระดับศีรษะนักบิน ระบบอวิโอนิกส์แบบใหม่ ปืนกลประจำเครื่องจากปืนกล 20 มม. 2 ลำกล้อง แบบรุ่นเอ ก็เปลี่ยนมาใช้ปืน วัลแคน 20 มม.ลำกล้องหมุนแบบ M61A1 ที่มีอำนาจการยิงสูงแทน ระบบคอมพิวเตอร์ควบคุมการใช้อาวุธและปล่อยอาวุธแบบใหม่ ระบบเรดาร์นำทางใหม่ AN/APN-185 และติดเรดาร์ติดตามภูมิประเทศ (terrain following radar) แบบ AN/APQ-126 เพื่อให้เครื่องบินสามารถบินต่ำได้มากที่สุด รวมทั้งติดตั้งท่อรับเชื้อเพลิงกลางอากาศบริเวณส่วนบนของลำตัว

...

เอ-7 ดี เข้าประจำการในปี 1970 ในฝูงบินขับไล่และใช้อาวุธที่ 57 ฐานทัพอากาศลุค รัฐแอริโซนา และฝูงบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 354 ที่ฐานทัพอากาศเมอร์เทิลบีช รัฐเซาท์ แคลิฟอร์เนีย ในปี 1972 มีเอ-7ดี 4 ฝูงบิน และ ฝูงบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 355 ที่ฐานทัพอากาศเดวิส-มอนธาน รัฐแอริโซนา ในปี 1972 จำนวน 4 ฝูงบิน ต่อมาในปี 1973 เอ-7ดี ก็เข้าประจำการครบฝูงบินที่ ฝูงบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 23 ที่ฐานทัพอากาศอิงแลนด์ รัฐหลุยเซียนา ตามลำดับ สายการผลิตเครื่องบิน เอ-7 ดี สิ้นสุดลงในปี 1976 โดย LTV ได้ส่งมอบให้กับกองทัพอากาศสหรัฐฯ รวม 459 ลำ

เวลคัมทูไทยแลนด์ เดอะ นิว "แซนดี้"

ในเดือนกันยายนปี 1972 ฝูงบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 354 ได้ย้ายกำลังมายังฐานบินโคราช จังหวัดนครราชสีมา ประเทศไทย จำนวน 2 ฝูงบิน โดยร่วมเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการ โครเน็ท แดนเซอร์ เอ-7 ดีถูกมอบหมายอย่างเร่งด่วนให้เข้าสนับสนุนภารกิจแซนดี้ หรือการสนับสนุนคุ้มกันการค้นหาและช่วยเหลือนักบินที่ถูกยิงตกในเวียดนาม โดยรับไม้ต่อจากเครื่องบิน เอ-1 สกายเรเดอร์ ที่ ทอ.สหรัฐฯ ใช้มาในช่วงต้นสงคราม โดย เอ-7 มีความเร็วสูงมากกว่า ทำให้ค่อนข้างอันตรายเมื่อบินไปกับเฮลิคอปเตอร์กู้ภัย แต่ความอึดและถึกของมันก็เป็นคุณสมบัติที่มีประโยชน์มากจริงๆ 

...

วีรกรรมอันห้าวหาญของนักบิน เอ-7 ดี

เมื่อวันที่ 18 พ.ย. พ.ศ. 2515 นาวาอากาศตรีโคลิน เอ. คลาร์ก นำลูกฝูงประสบความสำเร็จ ในการทำภารกิจสนับสนุนทางอากาศอย่างใกล้ชิด เพื่อช่วยเหลือนักบิน F-105 Thunderchief ที่ถูกยิงตกในเขตเวียดนามเหนือ ใกล้กับสะพานทานห์โฮ (Thanh Hoa) กรุงฮานอย โดยพวกเขาใช้เวลาทำภารกิจทั้งสิ้น 8.8 ชั่วโมง ในระหว่างที่คลาร์ก และนักบินลูกฝูงของเขา ถูกยิงหลายครั้งจากปืนต่อต้านอากาศยานขนาด 0.50 คาลิเบอร์ (12.7 มม.) สำหรับการการช่วยเหลือครั้งนี้ คลาร์ค ได้รับรางวัล Air Force Cross ที่เป็นเหรียญสดุดีที่สูงสุดเป็นอันดับสองของกองทัพอากาศสหรัฐฯ สำหรับความกล้าหาญที่เขามี และในที่สุดเครื่องบิน A-7D (หมาเลข 70-0970) ก็ถูกนำมาจัดแสดงในวันที่ 31 มกราคม 1992 ที่ พิพิธภัณฑ์แห่งชาติของกองทัพอากาศสหรัฐที่ ฐานทัพอากาศไรท์ - แพตเตอร์สัน รัฐโอไฮโอ

ผลงานการรบเป็นที่ประจักษ์ หลังสงครามเวียดนาม 

ในช่วงเวลาที่ เอ-7 ดี คอร์แซร์ ทู ได้ประจำการในกองทัพอากาศ มันถูกพิสูจน์คุณค่าในการรบจากสมรภูมิสงครามเวียดนาม โดยฝูงบินขับไล่ยุทธวิธีที่ 354 (354th Tactical Fighter Wing) ที่ประจำการอยู่ที่ฐานบินโคราช หรือ กองบิน 1 นครราชสีมา ในปัจจุบัน ระหว่างช่วงปลายของสงครามในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คอร์แซร์ ทู ได้รับความสำเร็จในภารกิจมากด้วยการทำงานร่วมกับระบบนำทางอิเล็กทรอนิกส์อัตโนมัติ และระบบปล่อยอาวุธ ทั้ง 2 อย่างถูกออกแบบมาเพื่อการโจมตีภาคพื้นดิน ตลอดสงครามเวียดนาม เอ-7 ดี ปฏิบัติการไปทั้งหมด 12,928 ภารกิจ สูญเสียในการรบไป 6 ลำ น้อยที่สุดในบรรดาเครื่องบินทางทหารที่รบในสงครามเวียดนาม และยังทำสถิติทิ้งระเบิดเหนือกรุงฮานอย เป็นอันดับ 2 รองจากเครื่องบินทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์แบบ บี-52 สตราโตฟอร์เทรส และยังทิ้งระเบิดเข้าเป้าได้แม่นยำมากกว่าเครื่องบินโจมตีชนิดใดๆ ของสหรัฐฯ ในขณะนั้นอีกด้วย อย่างไรก็ตาม เอ-7 ดี ก็ยังมีข้อจำกัดในการรบแบบ อากาศ-สู่-อากาศ

ในปี 1973 กองทัพอากาศสหรัฐฯ เริ่มบรรจุ เอ-7 ดี ไว้กับกองกำลังป้องกันมาตุภูมิ หรือ Air National Guard (ANG) ตามรัฐต่าง จนถึงปี 1987 ใช้งานรวม 10 รัฐ รวมทั้งที่เปอร์โตริโก อีกทั้งยังมีส่วนในปฏิบัติการ Just Cause ในปานามา ช่วงปี 1989

ชีวิตบั้นปลายร่วมโครงการเครื่องบินสเตลธ์

นอกจากนี้ เอ-7 ดี และเอ-7 เค (เครื่องบิน เอ-7 ดี แบบ 2 ที่นั่งสำหรับ ANG) ยังได้มีส่วนร่วมในโครงการพัฒนาเครื่องบินขับไล่ล่องหนหรือ สเตลธ์ แบบ เอฟ-117 ไนท์ฮอว์ก ของกองทัพอากาศ โดยใช้ฝึกนักบิน ต่อมาเป็นเครื่องบินที่บินติดตาม เอฟ-117 ขณะทดสอบบิน รวมทั้งเป็นเครื่องบินที่นำมาจอดในสนามบิน โทโนปาห์ รัฐเนวาดา เพื่อลวงดาวเทียมจารกรรมของสหภาพโซเวียต ไม่ให้รู้ถึงการทดสอบเครื่องบินสเตลธ์ โดยทำทีเป็นว่าที่สนามบินแห่งนี้ไม่มีอะไรนอกจากการฝึกบินของ เอ-7 ดี ขณะเดียวกันก็บอกกับคนในท้องถิ่นว่า เอ-7 ดี และ เอ-7 เค มาเพื่อการทดสอบความแม่นยำของระบบเรดาร์  ทั้งนี้ เครื่องบินเอ-7 ดี ลำสุดท้ายปลดประจำการจากกองทัพอากาศสหรัฐฯ ไปในช่วงต้นปี 1990 โดย กองกำลังป้องกันมาตุภูมิ ได้นำเครื่องบินขับไล่ เอฟ-16 เอ/บี และ ซี/ดี เข้ามาใช้งานทดแทน

ทั้งหมดนี้ คือ เรื่องราวของ 1 ในเครื่องบินโจมตีไอพ่นของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ที่ถูกพัฒนามาให้ทันใช้ในช่วงท้ายๆ ของสงครามเวียดนาม โดยมาพร้อมเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ถูกพัฒนาเพื่อใช้ในการรบ โดยนำบทเรียนจากช่วงต้นสงครามมาเป็นโจทย์ในการออกแบบ ทั้งระบบนำร่องแบบอิเล็กทรอนิกส์ และ ระบบปล่อยอาวุธ เพื่อความแม่นยำ การออกแบบเครื่องบินที่บรรทุกอาวุธไปได้ครั้งละมากๆ สามารถบินได้ไกลๆ เพื่อโจมตีเป้าหมาย ในช่วงรอยต่อเปลี่ยนผ่านจากระบบอนาล็อกไปสู่ยุคดิจิทัล อีกทั้งยังเป็นต้นแบบของเครื่องบินไอพ่นที่ใช้ในภารกิจสนับสนุนทางอากาศอย่างใกล้ชิด ก่อนที่กลายมาเป็นหน้าที่ของ เอ-10 ซี ทันเดอร์โบลท์ ทู และเอฟ-16 ซี/ดี ในปัจจุบัน. 

เรื่องโดย  : จุลดิส รัตนคำแปง
ข้อมูลจาก : Wikipedia A-7 Corsair II , List of LTV A-7 Corsair II operators และ The National Museum of the U.S. Air Force 
ภาพโดย  : (U.S. Air Force photo)