ทีมนักวิจัยม.ฟุกุโอกะในญี่ปุ่น เผยผลงานการวิจัยลงในวารสารวิทยาศาสตร์ พบ เฟซชิลด์ ไม่สามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ได้ จากการจามของผู้ติดเชื้อที่อยู่ห่างในระยะ 3 ฟุต

เมื่อ 9 ธ.ค.63 เว็บไซต์เดลี่เมลและเมโทร รายงานคณะนักวิจัยที่มหาวิทยาลัยฟุกุโอกะในญี่ปุ่น เผยแพร่ผลงานการวิจัยลงในวารสารทางวิทยาศาสตร์ พบว่า Face Shield (เฟซชิลด์) แผ่นพลาสติกใสปิดบังใบหน้า ไม่สามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ โควิด-19 จากละอองฝอยที่มีเชื้อโควิด-19 ปะปนอยู่จากการจามของผู้ติดเชื้อที่อยู่ห่างในระยะ 3 ฟุต

ทีมนักวิจัยที่มหาวิทยาลัยฟุกุโอกะได้ใช้คอมพิวเตอร์จำลองภาพการเคลื่อนที่ของเชื้อโควิด-19 ที่ปะปนอยู่กับละอองฝอยจากการจามของผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในระยะห่าง 3 ฟุต พบว่า ละอองฝอยที่มีเชื้อโควิด-19 เหล่านี้ได้ลอยมากระทบเฟซชิลด์ในเวลาไม่ถึง 1 วินาที อีกทั้งการจามได้ทำให้เกิด Vortex rings (วอร์เทกซ์ วงแหวน) ซึ่งคล้ายกับพายุหมุน ที่ทำให้ละอองฝอยที่มีเชื้อโควิด-19 สามารถลอยเข้าไปในเฟซชิลด์ และหากคนที่สวมเฟซชิลด์หายใจสูดละอองฝอยเหล่านี้เข้าไปทางจมูก จึงให้บุคคลนั้นสามารถติดเชื้อโควิด-19 ได้

Cr ภาพจาก Fujio Akagi SWNS :  แสดงให้เห็นการเคลื่อนที่ของละอองฝอยที่มีเชื้อโควิด-19 ปะปนอยู่สามารถลอยผ่านเฟซชิลด์เข้าไปในบริเวณจมูกได้ หากผู้ติดเชื้อจามใส่ในระยะห่าง 3 ฟุต
Cr ภาพจาก Fujio Akagi SWNS : แสดงให้เห็นการเคลื่อนที่ของละอองฝอยที่มีเชื้อโควิด-19 ปะปนอยู่สามารถลอยผ่านเฟซชิลด์เข้าไปในบริเวณจมูกได้ หากผู้ติดเชื้อจามใส่ในระยะห่าง 3 ฟุต

...

เดลี่เมล ชี้ว่า มีผู้คนจำนวนมากเลือกที่จะสวมเฟซชิลด์แทนหน้ากากอนามัย เพื่อต้องการลดการถูกจำกัดและลดความรู้สึกอึดอัดจากการสวมแมสก์ หรือหน้ากากอนามัย อีกทั้งมีความคิดว่าการสวมเฟซชิลด์ยังทำให้สามารถสื่อสารกับบุคคลอื่นได้ง่ายและชัดเจนกว่าสวมแมสก์ โดยนับตั้งแต่เกิดการระบาดของเชื้อโควิด-19 โลก คนหลายกลุ่มนิยมสวมเฟซชิลด์กันมาก.

Cr ภาพ : Fujio Akagi SWNS