ทางการเกาหลีใต้ลงนามคำสั่งซื้อวัคซีนโควิด-19 จากหลายบริษัท เพื่อให้เพียงพอกับประชากร 44 ล้านคนในปีหน้า หลังสถานการณ์การระบาดยังคงวิกฤติ จนกดดันระบบสาธารณสุขในประเทศ

รัฐบาลเกาหลีใต้ลงนามในคำสั่งจัดซื้อวัคซีนต้านโควิด-19 จากหลายบริษัท โดยสั่งซื้อวัคซีนจากบริษัทแอสตราเซเนกา 20 ล้านโดส บริษัทไฟเซอร์ และโมเดอร์นา รวม 20 ล้านโดส รวมทั้งจากบริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน อีก 4 ล้านโดส เพื่อให้เพียงพอกับประชากรอย่างน้อย 34 ล้านคน โดยจะมีวัคซีนโคแว็กซ์ที่จะได้รับจากโครงการแจกจ่ายวัคซีนให้ทั่วโลกขององค์การอนามัยโลกเพิ่มมาอีก 10 ล้านโดส

ปาร์ค เนียง ฮู รัฐมนตรีสาธารณสุขเกาหลีใต้ ระบุว่า เบื้องต้นรัฐบาลวางแผนที่จะสั่งซื้อวัคซีนให้เพียงพอกับประชากรราว 30 ล้านคน แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจสั่งซื้อเพิ่ม เนื่องจากตอนนี้ยังคงมีความไม่แน่นอนของการทดลองวัคซีนบางตัว และการแข่งขันที่สูงขึ้นระหว่างประเทศที่ต้องการสั่งซื้อล่วงหน้า

สำหรับการขนส่งวัคซีนลอตแรกคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ไม่เกินเดือนมีนาคมปีหน้า แต่ทางการจะจับตาดู การใช้วัคซีนในประเทศต่างๆ ในช่วง 2-3 เดือนนี้ เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัย โดยคาดว่าการใช้วัคซีนอย่างแพร่หลายน่าจะเริ่มต้นขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีหน้า

...

โดยวัคซีนต้านโควิด-19 จากบริษัทไฟเซอร์ ต้องเก็บรักษาในอุณภูมิต่ำกว่าติดลบ 70 องศาเซลเซียส ขณะที่วัคซีนของโมเดอร์นาต้องเก็บรักษาในอุณหภูมิติดลบ 20 องศาเซลเซียส โดยความยากลำบากในการขนส่งวัคซีนก็คือ เครื่องบินจะมีข้อจำกัดของการบรรทุกน้ำแข็งแห้งที่เปลี่ยนเป็นแก๊สอยู่ตลอดเวลา ซึ่งจะมาแทนที่ปริมาณออกซิเจนภายในห้องโดยสาร แต่ทางการเกาหลีใต้ได้เปลี่ยนข้อกำหนดนี้ให้เครื่องบินสามารถบรรทุกน้ำแข็งแห้งได้ถึง 11,000 กิโลกรัม เพิ่มจากเดิมที่กำหนดให้บรรทุกได้เพียง 3,300 กิโลกรัม ซึ่งจะทำให้เครื่องบินโบอิ้ง 747 สามารถบรรทุกตู้บรรจุวัคซีนได้เพิ่มขึ้นเป็น 52 ตู้ จากเดิมที่ได้เพียง 15 ตู้ แต่ก็ทำให้ต้องยกระดับมาตรการความปลอดภัย เช่น การตรวจสอบการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และติดตั้งระบบวัดระดับแก๊สด้วย

ทั้งนี้ ล่าสุด เกาหลีใต้มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 รวมทั้งสิ้น 38,755 ราย และมีผู้เสียชีวิตแล้ว 552 ศพ แต่ทางการเกาหลีใต้มั่นใจว่าจะยังสามารถคุมการระบาดได้ด้วยมาตรการต่างๆ ที่รัฐกำหนดได้ ทำให้ยังไม่ต้องเร่งสั่งวัคซีนเข้ามาใช้งานมากนัก โดยวัคซีนลอตแรกก็จะนำไปฉีดให้กับบุคลากรทางการแพทย์ กลุ่มผู้สูงอายุ และคนที่มีปัญหาเรื่องสุขภาพ รวมทั้งเจ้าหน้าที่บริการสังคมที่ต้องพบปะประชาชนจำนวนมาก.

ที่มา : แชนแนลนิวส์เอเชีย