องค์การอนามัยโลก ( WHO) กำลังอยู่ระหว่างพิจารณาที่จะให้ทั่วโลกใช้การรับรองการฉีดวัคซีนโควิด-19 ผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้สามารถตรวจสอบได้ว่าใครผ่านการฉีดวัคซีนมาแล้วบ้าง
ในขณะที่ประเทศอังกฤษประกาศความชัดเจนว่าจะเป็นประเทศแรกของโลกที่เริ่มฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ให้แก่พลเมือง ตามมาด้วยสหรัฐฯ และอีกหลายประเทศที่คาดว่าจะเริ่มดำเนินการฉีดวัคซีนทันทีที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไฟเขียวรับรองการใช้วัคซีนได้ ทำให้เริ่มมีความหวังในการที่จะยุติการระบาดของไวรัสมรณะที่คุกคามชีวิตคนทั่วโลก
ล่าสุดผู้เชี่ยวชาญขององค์การอนามัยโลกที่ดูแลโซนยุโรปได้ออกมาเคลื่อนไหว โดยกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าควรจะมีการใช้ระบบการรับรองการฉีดวัคซีนโควิด-19 ผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-vaccination certificate กับชาติสมาชิกด้วยหรือไม่ เพื่อที่จะได้สร้างความเชื่อมั่นในระดับสากล และง่ายต่อการตรวจสอบว่าบุคคลดังกล่าวได้รับการฉีดวัคซีนมาแล้วจริง ทำให้ง่ายต่อการติดตามโรค ซึ่งเรื่องนี้ยังอยู่ระหว่างขั้นตอนในการพิจารณาความเป็นไปได้ และยังต้องพิจารณาไปถึงกฎหมายของแต่ละประเทศด้วย
...
อย่างไรก็ตาม การรับรองการฉีดวัคซีนดังกล่าวจะไม่เหมือนกับแนวคิดพาสปอร์ตภูมิคุ้มกัน ที่จะรับประกันว่า คนที่ถือพาสปอร์ตดังกล่าวจะไม่ติดโรคอีก เพราะเคยติดเชื้อและหายจากโรคดังกล่าวแล้ว ซึ่งแนวคิดที่จะให้มีพาสปอร์ตภูมิคุ้มกันนั้นเคยได้รับความสนใจจากหลายประเทศที่อยากให้นำมาใช้ตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา แต่องค์การอนามัยโลกไม่เห็นด้วยเพราะมองว่าคนที่ได้รับพาสปอร์ตดังกล่าวอาจจะละเลยไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำให้ป้องกันตัวเอง เช่น ไม่สวมหน้ากากอนามัยเพราะคิดว่าตัวเองไม่เป็นอันตรายกับคนอื่น ซึ่งจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดการระบาดต่อเนื่องได้
ทั้งนี้ ประเทศในแถบยุโรปที่จัดกลุ่มโดยองค์การอนามัยโลก มีทั้งหมด 53 ประเทศ รวมทั้งรัสเซีย มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 รวมมากกว่า 19.3 ล้านคนแล้ว โดยมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 433,000 ศพ นับตั้งแต่เริ่มการระบาด ขณะที่ในช่วง 7 วันที่ผ่านมา มีผู้ป่วยเพิ่มมาถึง 1.5 ล้านคน ซึ่งแม้ว่าการระบาดในโซนยุโรปตะวันตกจะมีแนวโน้มลดลงเล็กน้อย และไปพบการระบาดในโซนยุโรปตะวันออกเพิ่มมากขึ้น แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขขององค์การอนามัยโลกยังคงเตือนให้ทุกประเทศตั้งการ์ดสูง โดยจะต้องยกระดับมาตรฐานโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุข เพื่อเตรียมรับมือกับการระบาดระลอกใหม่ที่อาจจะเกิดขึ้นได้.
ที่มา : แชนแนลนิวส์เอเชีย