การมาของวัคซีนป้องกันโควิด-19 อาจไม่สามารถทำให้การระบาดของไวรัสมรณะชนิดนี้จบลงรวดเร็วอย่างที่คิด หลังผลวิจัยพบว่า ชาวสหราชอาณาจักรกว่า 36% ลังเลหรือไม่ต้องการฉีดวัคซีน
วิทยาลัยบริติชกับราชสมาคมแห่งลอนดอน เผยแพร่รายงานเมื่อวันอังคารที่ 10 พ.ย. 2563 ระบุว่า หากวัคซีนป้องกันโควิด-19 ได้รับอนุมัติให้ใช้งานอย่างเป็นทางการแล้ว ประชากรกว่า 80% ของประเทศจำเป็นต้องได้รับการฉีดวัคซีน เพื่อการป้องกันอย่างกว้างขวาง
อย่างไรก็ตาม ผลการวิจัยของพวกเขาพบว่า ชาวสหราชอาณาจักรประมาณ 27% ลังเลที่จะรับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ขณะที่อีก 9% ระบุว่าจะไม่รับวัคซีน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความพยายามในการควบคุมการระบาดของไวรัสโคโรนา
วิทยาลัยบริติชกับราชสมาคมแห่งลอนดอนจึงเรียกร้องให้รัฐบาลสหราชอาณาจักร แก้ปัญหาเรื่องความกังวลของสังคมในเรื่องความปลอดภัยและประสิทธิภาพของวัคซีน โดย ดร. เมลินดา มิลส์ หัวหน้าทีมผู้เขียนรายงานฉบับนี้ระบุว่า “มีความจำเป็นที่จะต้องสื่อสารกับสังคมโดยตรงว่า มันจะต้องใช้เวลานานเท่าใด และว่าเรื่องต่างๆ จะยังไม่กลับเป็นปกติในทันทีหลังจากวัคซีนออกมาแล้ว”
“เราต้องเรียนรู้จากบทเรียนในประวัติศาสตร์ และหลีกเลี่ยงการให้ข้อมูลด้านเดียว และใช้การหารืออย่างเปิดว้าง เพื่อแก้ปัญหาการให้ข้อมูลผิดๆ และกำจัดความกังวลและความลังเลในการฉีดวัคซีนของผู้คน” ดร.มิลส์กล่าว