โควิดระบาดหนัก ทำให้คนอเมริกันต้องใช้สิทธิ์เลือกตั้งล่วงหน้าทางไปรษณีย์มากสุดเป็นประวัติศาสตร์ กว่า 59 ล้านใบ จากจำนวนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทั้งหมด 240 ล้านคน ทำให้ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ล่าช้าออกไปอีก เพราะต้องตรวจสอบความถูกต้อง ยังไม่รวมหลายๆ อุปสรรคตามมา กับการก้าวเข้าสู่บัลลังก์ทำเนียบขาวของ “โจ ไบเดน” ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 46 อาจเจอความพลิกผัน

  • เพราะด้วยคะแนนที่ขับเคี่ยวกันอย่างสูสีกับโดนัลด์ ทรัมป์ ก่อนที่ไบเดน จะนำห่างเข้าใกล้คะแนน 270 เสียง ทำให้ทรัมป์ เกิดอาการหัวเสีย ปรากฏตัวเมื่อเช้ามืดวันที่ 4 พ.ย. ประกาศว่าเป็นผู้รับชัยชนะจากการเลือกตั้งครั้งนี้ แต่มีการโกง มีผู้พยายามขโมยผลการเลือกตั้งไป จึงขอให้หยุดการนับคะแนนในบางรัฐ และขู่ว่าจะดำเนินคดีทางกฎหมายทั่วประเทศ

  • ทรัมป์ ประเดิมยื่นฟ้องต่อศาลสูง ให้พิจารณาออกคำสั่งยับยั้งการนับคะแนนในรัฐมิชิแกน และเพนซิลเวเนีย และเรียกร้องให้นับคะแนนใหม่ในรัฐวิสคอนซิน ภายหลังไบเดนคว้าชัยชนะเพิ่มในรัฐวิสคอนซิน และรัฐมิชิแกน ซึ่งเป็นสองในหก รัฐสมรภูมิเลือกตั้ง หรือรัฐสวิงสเตท ก่อนยื่นฟ้องดำเนินคดีผู้ที่รับผิดชอบในการนับคะแนนเลือกตั้งทางไปรษณีย์ในรัฐจอร์เจีย อีกหนึ่งรัฐสมรภูมิ



  • ทีมหาเสียงของทรัมป์ ได้ร้องเรียนต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง ประจำชาแธมเคาน์ตี อ้างว่าผู้สังเกตการณ์การเลือกตั้งของพรรครีพับลิกันในรัฐจอร์เจีย เห็นพนักงานนำบัตรลงคะแนนที่ยังไม่ได้นับมาจากห้องด้านหลัง มารวมกับบัตรคะแนนที่กำลังจะนับ เนื่องจากตามกฎหมายของรัฐ จะต้องรับบัตรลงคะแนนภายในเวลา 19.00 น. ของวันเลือกตั้ง จึงจะสามารถนับคะแนนได้

  • ความวุ่นวายที่เกิดขึ้น ทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่น่าจะราบรื่นอย่างที่ผ่านมา เพราะเมื่อนับผลคะแนนป๊อปปูลาร์โหวต ในวันเลือกตั้งทั่วไปเสร็จสิ้นแล้ว และภายในเช้าวันถัดมา จะรู้ผลทันทีว่าใครเป็นผู้ชนะ จากนั้นผู้ชนะจะประกาศชัยชนะต่อกลุ่มผู้สนับสนุนในทันที แต่ครั้งนี้สุดคาดเดายาก กับความเสี่ยงหลายอย่าง




  • ยิ่งไปกว่านั้นยังมีการฟ้องร้องเกี่ยวกับการเลือกตั้งครั้งนี้ กระจายไปทั่ว 44 รัฐ และอาจมีเพิ่มอีก กว่าจะถึงวันที่ 8 ธ.ค. หากรัฐใดไม่สามารถสรุปการนับคะแนนได้ ทางคณะเลือกตั้งจะลงคะแนนเสียงเลือกประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 14 ธ.ค.นี้ โดยผู้ชนะป๊อปปูลาร์โหวตในแต่ละรัฐ จะได้คะแนนเสียงจากคณะเลือกตั้งไปทั้งหมด หากทรัมป์ หรือไบเดน ได้ 270 เสียงขึ้นไป จะเป็นผู้คว้าชัยในที่สุด



  • ในอดีตเมื่อปี 2543 มีการเลือกตั้งสหรัฐฯ เป็นการชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระหว่างจอร์จ ดับเบิลยู บุช จากพรรครีพับลิกัน และอัล กอร์ จากพรรคเดโมแครต ซึ่งมีคะแนนสูสี ได้เกิดปมปัญหาในการนับคะแนนในรัฐฟลอริดา ทำให้พรรคเดโมแครต ยื่นฟ้องร้อง โดยศาลสูงในรัฐฟลอริดา มีคำตัดสินให้นับคะแนนใหม่ จากนั้นพรรครีพับลิกันได้ยื่นคัดค้านต่อศาลสูงสุดของสหรัฐฯ กระทั่งมีคำตัดสินให้นับคะแนนใหม่ จนบุช พลิกกลับมาเป็นฝ่ายชนะ ได้ครองตำแหน่งประธานาธิบดีเหนือความคาดหมาย

  • การเลือกตั้งครั้งนี้ เสี่ยงซ้ำรอยเดิม ภายหลังทรัมป์ออกมาโวยวายเลือกตั้งไม่เป็นธรรม เดินหน้ายื่นฟ้องต่อศาลสูง และดูเหมือนทรัมป์จะเตรียมการเอาไว้ เพราะก่อนหน้านั้นได้แต่งตั้ง เอมี่ บาร์เร็ตต์ เป็นผู้พิพากษาศาลสูงสุด ช่วงโค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง โดยไม่สนคำทักท้วงใดๆ ส่งผลให้ฝ่ายอนุรักษนิยมมีความได้เปรียบ ครองเสียงข้างมากในศาล 6 ต่อ 3 เสียง อาจมีผลต่อคำตัดสิน ทำให้ทรัมป์พลิกกลับมาชนะก็ได้ แต่ฝ่ายพรรคเดโมแครตพร้อมต่อสู้ ไม่ยอมง่ายๆ





  • ต้องจับตาดูต่อไปสำหรับการเลือกตั้งสหรัฐฯ ซึ่งครั้งนี้ไม่ธรรมดา เกิดเหตุวุ่นวาย มีการออกมาประท้วงถือป้ายโจมตี โดยกลุ่มผู้สนับสนุนของทั้ง 2 ฝ่าย ในหลายๆ เมือง และอาจเกิดจุดพลิกผันเหนือความคาดหมายก็เป็นไปได้

  • หากการลงคะแนนของคณะเลือกตั้งในวันที่ 14 ธ.ค. ไม่มีฝ่ายใดได้คะแนน 270 เสียง (น่าจะเป็นไปได้ยาก) รัฐธรรมนูญสหรัฐฯ กำหนดให้สภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้เลือกประธานาธิบดี และวุฒิสภา เป็นผู้เลือกรองประธานาธิบดี ในปีถัดไปในวันที่ 6 ม.ค. โดยแต่ละรัฐจะโหวตได้เพียงครั้งเดียว

  • หรือกรณีเลวร้ายจริงๆ หากไม่ได้ผู้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี และรองประธานาธิบดี ภายในวันที่ 20 ม.ค. 2564 ซึ่งกำหนดให้เป็นวันสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง สุดท้ายแล้วประธานสภาผู้แทนราษฎรจะทำหน้าที่รักษาการประธานาธิบดีสหรัฐฯ คือ “แนนซี เพโลซี” วัย 80 ปี จากพรรคเดโมแครต คู่ปรับคู่กัดจอมเก๋าตัวฉกาจของโดนัลด์ ทรัมป์.

...

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง