ขึงพืดโลกใบนี้อีกต่อไป กำลังรอดูผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯระหว่าง “โดนัลด์ ทรัมป์” แห่งพรรครีพับลิกัน กับ “โจ ไบเดน” แห่งเดโมแครต เดิมพันด้วยเก้าอี้ผู้นำสหรัฐฯสมัยที่ 2 กับผู้ท้าชิงบัลลังก์ทำเนียบขาว การเลือกตั้งของสหรัฐฯนั้นต้องถือว่าได้รับความสนใจไปทั่วโลกไม่ว่าชาติไหน ประเทศไหน จะเล็กใหญ่ระดับอภิมหาอำนาจแค่ไหนก็ตามเพราะสหรัฐฯนั้นมีบทบาทและอิทธิพลต่อโลกในทุกๆด้านจนเปรียบเปรยกันว่าไม่ต่างกับ “เจ้าโลก” ทำนองนั้น
ไม่ว่าประเทศที่เป็นพันธมิตรกันหรืออยู่ตรงกันข้ามก็ตาม
ทุกองคาพยพมุ่งไปที่สหรัฐฯอย่างไม่วางตา
ว่าไปแล้วการเลือกตั้งผู้นำของสหรัฐฯนั้นเป็นอะไรที่คาดหมายได้และคาดหมายไม่ได้ หมายความว่าที่เป็น “เต็งหนึ่ง” อาจจะลอยลำเข้ามาเลยหรือ “พลิกล็อก” ถล่มทลายมาแล้ว
“ทรัมป์” นั้นเอาชนะ “ฮิลลารี คลินตัน” ก็มีให้เห็นมาแล้ว
ในสถานการณ์ปัจจุบันหากว่ากันตามสภาพความเป็นจริงแล้ว “ไบเดน” น่าจะมีแต้มต่อที่เหนือกว่าแทบทุกด้าน
“โควิด-19”...หนึ่งล่ะจากความล้มเหลวของ “ทรัมป์” เอง
อีกทั้งการดำเนินนโยบายตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งจนถึงปัจจุบันถือว่าโลดโผนโจนทะยานอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในระดับผู้นำโลก
“ลูกบ้า”...เที่ยวสุดท้ายว่างั้นเถอะ
แต่ “จุดอ่อน” ตรงนี้กลับเป็น “จุดแข็ง” ในตัวเองคือ มีความกล้าที่จะตัดสินใจในทุกสถานการณ์ จู่ๆก็ลุยเต็มพิกัดหรือถอยเอาดื้อๆไม่ต่างกับเป็นคนละคนกัน
“ทรัมป์” น่าจะรู้ว่าตัวเองเป็นรอง แต่ก็พยายามสร้างจุดแข็งให้กับตัวเองจากการหาเสียงครั้งนี้จะเห็นได้ว่าเขาจะไม่กล่าวถึงปัญหาความผิดพลาดของเขาในทุกเรื่อง
...
เขาตั้งคำถามว่าหากไม่ใช่ “เขา” แล้วใครจะสยบ “จีน” ได้
พร้อมกับสร้างภาพให้เห็นความเลวร้ายในลักษณะต่างๆ ที่จีนดำเนินนโยบายเพื่อจะขยับขึ้นมาเป็นผู้นำโลกแทนสหรัฐฯ
ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยี การเมือง การทหาร และอาวุธที่ทันสมัย การสร้างอิทธิพลในพื้นที่ประเทศต่างๆทั่วโลก
พูดแบบสรุปก็คือนี่แหละคือ “คอมมิวนิสต์” ที่จะมาทำลายล้าง “ประชาธิปไตย” อย่างที่สหรัฐฯและพันธมิตรเคยเขย่าโลกมาด้วยนโยบายต่อต้านคอมมิวนิสต์จนสะท้านโลกมาแล้ว
ถือเป็น “เงาปิศาจ” ที่จะต้องจัดการให้เด็ดขาด
สหรัฐฯและชาวโลกจะต้องสนับสนุนเขาเพื่อต่อต้านศัตรูของสหรัฐฯไม่ว่าจะใช้วิธีการไหนก็ตาม หนทางหนึ่งก็คือต้องเลือกเขาเป็นผู้นำอีกสมัยหนึ่ง
ชุดความคิดนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่และเป็นประเด็นสำคัญที่จะมองข้ามไม่ได้ ซึ่งไม่ใช่คนอเมริกันเท่านั้น แต่ยังกินความกว้างไปถึงยุโรปทั้งหมดอีกด้วย
นี่คือทิศทางและนโยบายของสหรัฐฯ ซึ่งเคยเปลี่ยนแปลงมาแต่ไหนแต่ไร
ไม่ว่าประธานาธิบดีคนไหนมาจากพรรคไหนก็ยึดนโยบายเพื่อความเป็นใหญ่ที่น่าจะเรียกว่า “นโยบายชาติ” ว่าด้วย “ชาตินิยม”
ไม่ว่า “ทรัมป์” หรือ “ไบเดน” ได้เป็นผู้นำสหรัฐฯ
โลกใบนี้ก็ไม่มีความสงบ จะ “ช้า-เร็ว” เท่านั้น.
“สายล่อฟ้า”