สถานการณ์ในอิตาลีกลายเป็นเหตุจลาจลในหลายเมือง เหตุจากประชาชนไม่พอใจที่รัฐบาลประกาศเคอร์ฟิวและคุมเข้มมาตรการต่างๆ อีกรอบ เพื่อหวังควบคุมการระบาดของโควิด-19

บรรยากาศในเมืองตูรินของอิตาลี มีสภาพไม่ต่างกับสมรภูมิรบ ที่มีแต่ซากความเสียหาย เมื่อตำรวจปราบจลาจลต้องกระจายกำลังเพื่อควบคุมการชุมนุมประท้วงของประชาชน หลังเกิดกระแสความไม่พอใจที่รัฐบาลประกาศใช้มาตรการคุมเข้มและปิดร้านค้าต่างๆ ตั้งแต่ 18.00 น. เพื่อหวังคุมการระบาดของโควิด-19 โดยมีรายงานว่าผู้ชุมนุมได้ขว้างปาขวดแก้วและระเบิดเพลิงใส่เจ้าหน้าที่ จนมีช่างภาพได้รับบาดเจ็บ ขณะที่ตำรวจปราบจลาจลต้องตอบโต้กลับด้วยแก๊สน้ำตาและปืนฉีดน้ำแรงดันสูงเพื่อควบคุมสถานการณ์ ซึ่งมีรายงานว่าผู้ชุมนุมถูกตำรวจจับกุมไปอย่างน้อย 5 คน

เช่นเดียวกับสถานการณ์ในเมืองมิลานที่มีผู้ชุมนุมหลายร้อยคนออกมาเดินขบวนประท้วง แสดงความไม่พอใจต่อมาตรการของรัฐบาล จนตำรวจต้องใช้แก๊สน้ำตาสลายการชุมนุม และมีการจับกุมผู้ประท้วงอีกจำนวนหนึ่งเช่นกัน ซึ่งการประท้วงยังเกิดขึ้นในอีกหลายเมืองของอิตาลี ทั้งโรม เจนัว ปาแลร์โม รวมทั้งทรีเอสเต

...

สำหรับชนวนเหตุในการประท้วงรุนแรงครั้งนี้ เกิดจากความไม่พอใจที่รัฐบาลแห่งชาติได้เริ่มบังคับใช้มาตรการคุมการระบาดของโควิด-19 รอบใหม่ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ไปจนถึงวันที่ 24 พฤศจิกายนนี้ โดยมีความกังวลว่าธุรกิจต่างๆ ที่ต้องปิดตัวลงจะส่งผลกระทบต่อรายได้ และทำให้อิตาลีเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยอีกรอบ

ก่อนหน้านี้ นายจูเซบเป กอนเต นายกรัฐมนตรีอิตาลี ได้แถลงต่อสาธารณชน ชี้แจงเหตุผลที่ต้องนำมาตรการเด็ดขาดมาใช้เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 อีกรอบ ไม่ว่าจะเป็น การสวมหน้ากากเวลาออกนอกบ้าน ปิดยิม สระว่ายน้ำ และโรงภาพยนตร์ รวมทั้งสปา และมีการประกาศเคอร์ฟิวสำหรับร้านคาเฟ่และร้านอาหารที่ต้องปิดร้านตั้งแต่ช่วงเย็นอย่างน้อย 1 เดือน เพื่อเร่งคุมสถานการณ์การระบาดให้ได้

ขณะที่บางเมืองมีการประกาศห้ามออกนอกเคหสถานในยามวิกาลด้วย โดยนายกอนเตยืนยันว่ารัฐบาลได้เตรียมแผนรองรับด้านเศรษฐกิจเอาไว้แล้ว และอยากให้ผู้ที่ไม่พอใจรอดูก่อน เพราะเชื่อมั่นว่าสามารถรับมือทางด้านเศรษฐกิจได้ พร้อมเตือนประชาชนอย่าถูกยุยงปลุกปั่นโดยกลุ่มที่ต้องการจะจุดประเด็นให้เกิดความขัดแย้งในประเทศ

นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา อิตาลีมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 เกินครึ่งล้านไปแล้ว โดย 2 วันที่ผ่านมามีผู้ติดเชื้อรายใหม่ในอิตาลีเพิ่มวันละเกือบ 20,000 คน และยังคงเป็นประเทศอันดับสองของยุโรปที่มียอดผู้เสียชีวิตสูงที่สุดรองจากประเทศอังกฤษ โดยมีผู้เสียชีวิตแล้ว 37,210 ศพ.

ที่มา : บีบีซี