“น่าอับอาย เสื่อมเสีย ทำลายสามัญสำนึก” เป็นคำที่พรั่งพรูออกมาจากปากสื่อมวลชนทั่วสหรัฐอเมริกา หลังจากได้รับชมการโต้วาทีครั้งแรกของผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี เมื่อ 29 ก.ย.
งานนี้จะเรียกกันว่า งงทั้งแผ่นดินก็ไม่แปลก เพราะแดนพญาอินทรีมีความภาคภูมิตลอดมา ในเรื่องของมาตรฐานชั้นนำด้านการเมือง แต่ปรากฏว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น กลับทำลายทุกอย่างไปจนหมดสิ้น
จากข้อมูลสถิติแล้ว นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตัวแทนพรรครัฐบาลรีพับลิกัน ใช้เวลาพูดทั้งหมด 38 นาที นายโจ ไบเดน อดีตรองประธานาธิบดี ตัวแทนพรรคฝ่ายค้านเดโมแครต ใช้เวลาพูดทั้งหมด 43 นาที แต่ระหว่างนั้นนายทรัมป์ขัดจังหวะพูดแทรกแย่งซีนนายไบเดนถึง 73 ครั้ง
หากใครได้รับชม ก็จะเห็นว่าทรัมป์พล่ามน้ำท่วมทุ่ง แทบตลอดเวลาที่ไบเดนชี้แจง ขนาดนายคริส วอลเลส ผู้ดำเนินรายการมากประสบการณ์จากช่องฟ็อกซ์ นิวส์ ก็เอาไม่อยู่
จนถึงขั้นไบเดนต้องโวยออกมาว่า “Will you shut up, man?” เอ็งหุบปากบ้างจะได้ไหม พร้อมบ่น พูดอะไรไปเจ้าตัวโจ๊กตัวตลก (Clown) นี่ก็ไม่มีทางรับรู้หรอก ซึ่งผิดวิสัยของการดีเบตที่ควรจะเชือดเฉือนในด้านนโยบาย และทำให้ภาพรวมของการโต้วาทีรอบที่ 1 กลายเป็นคนแก่สองคนยืนเถียงกัน โวยวายใส่กัน
หากพยายามจับประเด็นแล้ว เนื้อหาจะพอสรุปได้ว่าทรัมป์พยายามขายผลงานด้านเศรษฐกิจที่เหนือกว่าคู่แข่ง ชี้แจงเรื่องการรับมือโควิด-19 ที่ผู้เสียชีวิตทะลุ 200,000 คน พร้อมสาดโคลนว่าหากเป็นคนโพเดียมตรงข้ามบริหารคงตายหลักร้อยล้าน ซึ่งไบเดนตอบโต้ด้วยการเล่นกล้อง ถามผู้ชมเรื่องความน่าเชื่อของทรัมป์

...
ขณะที่เรื่องสถานการณ์ประท้วงเรียกร้องสิทธิคนผิวสี ทรัมป์ถูกไบเดนบีบให้กล่าวห้ามปรามกลุ่มผิวขาวคลั่งชาติ (ที่ดูเหมือนรัฐบาลหนุนหลัง) อย่างกลุ่มพราวด์ บอยส์ ออกอากาศ ซึ่งทรัมป์ก็ให้คำตอบคลุมเครือว่า “Stand back and stand by” จงถอยไปและเตรียมพร้อมไว้ เรียกได้ว่าไม่ห้ามเด็ดขาดเสียทีเดียว ทั้งมาพูดหลังดีเบตว่าไม่รู้จักกลุ่มนี้ ก่อนยกประเด็นกลุ่มต้านเหยียดผิวหัวร้อนแอนติฟา ว่าสมควรมีใครทำอะไรกับกลุ่มนี้บ้าง
นายทิม อัลเบอร์ตา หัวหน้าข่าวการเมือง สื่อโพลิติโกสหรัฐฯมองว่า ทรัมป์ ณ ปัจจุบันนี้ แตกต่างกับเมื่อ 4 ปีก่อนอย่างเห็นได้ชัด เขาดูสูญเสียความมั่นใจตัวเอง เพราะย้อนไปเมื่อปี 2559 ช่วงการโต้วาทีกับนางฮิลลารี คลินตัน อดีต รมว.ต่างประเทศ และตัวแทนพรรคเดโมแครต ทรัมป์อยู่ในสภาพเสียเปรียบ
ตอนนั้น 2 วันก่อนการดีเบตรอบสองกับฮิลลารี ผู้นำทรัมป์ถูกหนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ แฉคลิปเสียงเจ้าตัวคุยโอ้อวดเรื่องการจับอวัยวะเพศผู้หญิง จนถึงขั้นถูกนายไรนซ์ พรีบุซ ประธานคณะกรรมการรีพับลิกัน เตือนว่านายเหลืออยู่สองทาง คือแพ้แบบถล่มทลายครั้งประวัติศาสตร์ หรือถอนตัวและให้คนที่มีโอกาสชนะแข่งแทน
แต่ทรัมป์ก็ฝ่าสถานการณ์กดดันไปได้ ใช้การโต้วาทีอย่างแยบคาย ไม่ต้องแก้ตัวมาก ปล่อยผ่าน บางเรื่อง และโจมตีฝ่ายตรงข้ามเหมือนคนรู้ความลับอะไรมา กระนั้นในครั้งนี้ ภายใต้ภาวะกดดันเหมือนกัน โพลตามหลังเหมือนกัน กลับล้มเหลวอย่างน่าหดหู่ที่จะใช้เวทีดีเบตสร้างแต้มต่อ
อย่างไรก็ตาม มีนักวิเคราะห์บางส่วน มองว่าการป่วนเวทีดีเบตในครั้งนี้ เป็นการตั้งใจหรือไม่ เพราะจากการที่ทรัมป์พูดคลุมเครือ วกไปวนมานั้น ถือว่าค่อนข้างเหมาะสมกับโลกดิจิทัลยุคปัจจุบัน ที่คนเสพข้อมูลแบบสั้นๆ อ่านแค่ 280 ตัวอักษรในทวิตเตอร์ ผู้สนับสนุนสามารถเลือกฟังเฉพาะที่ตัวเองอยากฟัง รับรู้และเชื่อในข้อมูลที่อยากได้ยิน
หลังการโต้วาที คณะกรรมการดูแลการโต้วาทีผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ พิจารณาการปรับเปลี่ยนรูปแบบดีเบต โดยอาจจะอนุญาตให้ผู้ดำเนินรายการกดปิดไมโครโฟนของผู้โต้วาที เพื่อความมีระเบียบเรียบร้อย ไม่อยากให้ซ้ำรอยสภาพแมวกัดกันของการดีเบตครั้งแรก ซึ่งกรณีนี้ยิ่งเป็นการสร้างความได้เปรียบแก่ทรัมป์หรือเปล่า เนื่องจากสามารถอ้างได้เต็มปากว่าตกเป็นเหยื่อเกมอำนาจ และถูกเลือกปฏิบัติ
ประกอบกับก่อนหน้านี้ ทรัมป์ยังพูดดักทางไว้เป็นระยะๆเช่นกันว่า ถูกกลั่นแกล้ง และการเลือกตั้ง 3 พ.ย. จะไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม โดยเฉพาะเรื่องการลงคะแนนโหวตผ่านไปรษณีย์ ที่อาจเกิดการนับคะแนนผิดพลาดหรือมีการโกงเกิดขึ้น เรื่องต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ใช้ศาลฎีกาเป็นกลไกตัดสินชี้ขาด
และแน่นอนว่า เมื่อ 26 ก.ย. ที่ผ่านมา ทรัมป์ได้ประกาศเสนอชื่อนางเอมี โคนีย์ บาร์เรตต์ เป็นผู้พิพากษาศาลฎีกาคนใหม่แทนนางรูธ กินสเบิร์ก ที่เพิ่งเสียชีวิตไป ซึ่งหากกระบวนการรับรองในวุฒิสภาเรียบร้อย จะทำให้มีอิทธิพลต่อศาลฎีกาทันที ด้วยสัดส่วนผู้พิพากษาสายรีพับลิกัน 6 คน สายเดโมแครต 3 คน
ทั้งนี้ การโต้วาทีรอบต่อไปจะมีขึ้นในรัฐฟลอริดา วันที่ 15 ต.ค. (ซึ่งทรัมป์เพิ่งติดโควิด–19 จะมาได้หรือไม่) ตามด้วยครั้งที่ 3 ในรัฐเทนเนสซี วันที่ 22 ต.ค. ต้องจับตาดูกันต่อไปว่า สุดท้ายแล้วการกระทำที่ดูเหมือนจะส่งผลเสียมากกว่าดีของทรัมป์ครั้งนี้ เป็นกลยุทธ์ที่ตั้งใจไว้ หรือเป็นเพียงการดิ้นรนโวยวายของคนที่จนมุม.
วีรพจน์ อินทรพันธ์