• รัฐอุตตรประเทศขึ้นชื่อว่าเป็นรัฐที่อันตรายสำหรับผู้หญิงไปแล้ว โดยจากรายงานเหตุอาชญากรรมของอินเดีย ประจำปี 2019 พบว่า รัฐอุตตรประเทศเป็นรัฐที่เกิดเหตุอาชญากรรมกับผู้หญิงสูงที่สุดในประเทศเกือบ 60,000 คดี
  • สำหรับคดีอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับผู้หญิง มีทั้งเหตุการแซว ลวนลาม ลักพาตัว ล่วงละเมิดทางเพศ ไปจนถึงข่มขืนแล้วฆ่า ซึ่งเป็นชนวนเหตุที่ทำให้เกิดเหตุประท้วงลุกฮือของชาวบ้านขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
  • ยิ่งจำนวนของคดีข่มขืนเพิ่มขึ้นมากเท่าไร ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความไร้ประสิทธิภาพของการบังคับใช้กฎหมาย โดยศาลของอินเดียไม่สามารถตัดสินคดีที่มีในมือได้ทัน จนทำให้ยังมีคดีคงค้างอีกนับหมื่นนับแสนคดีที่ยังต้องรอคอยความยุติธรรมต่อไป

ชุมนุมเรียกร้องความยุติธรรม


เกิดเหตุประท้วงลุกลามในหลายพื้นที่ของอินเดียในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังมีข่าวหญิงสาวในชุมชนดาลิต ซึ่งเป็นวรรณะต่ำที่สุดในสังคมอินเดีย ถูกรุมข่มขืนและเสียชีวิตถึง 2 ราย ในช่วงสัปดาห์เดียว ในรัฐอุตตรประเทศ หนำซ้ำเจ้าหน้าที่ยังนำศพหญิงสาววัย 19 ปี หนึ่งในเหยื่อข่มขืนไปเผา โดยไม่แจ้งให้ญาติทราบก่อน จนทำให้ประชาชนลุกฮือเรียกร้องขอความเป็นธรรม และเกิดการปะทะกันระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมและตำรวจ ซึ่งแม้ในเวลาต่อมาตำรวจสามารถจับกุมชายสี่คนที่เป็นผู้ต้องสงสัยก่อเหตุในครั้งนี้ได้ แต่ไม่มีใครมั่นใจว่ากระบวนการยุติธรรมจะสามารถเอาผิดกับชายในวรรณะที่สูงกว่าเหยื่อได้มากน้อยเพียงใด ขณะที่เหยื่ออีกรายเป็นหญิงสาวจากชุมชนดาลิตวัย 22 ปีที่ถูกลากไปข่มขืนในรถ ขณะที่เธอเดินทางไปสมัครเรียน และเพิ่งเสียชีวิตลงจากความบอบช้ำภายใน หลังแพทย์พยายามยื้อชีวิตในโรงพยาบาลนาน 2 สัปดาห์

กลุ่มนักศึกษาประณามเหตุข่มขืนหญิงสาววัย 19 ปีในรัฐอุตตรประเทศ
กลุ่มนักศึกษาประณามเหตุข่มขืนหญิงสาววัย 19 ปีในรัฐอุตตรประเทศ

...

ผู้ประท้วงถือป้ายเรียกร้องความยุติธรรมให้แก่เหยื่อข่มขืนซึ่งเป็นกลุ่มดาลิต
ผู้ประท้วงถือป้ายเรียกร้องความยุติธรรมให้แก่เหยื่อข่มขืนซึ่งเป็นกลุ่มดาลิต

สถิติอันน่าตกใจ

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้ขึ้น และคงไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่หญิงสาวต้องตกเป็นเหยื่อของผู้ชาย โดยจากรายงานเหตุอาชญากรรมของอินเดีย ประจำปี 2019 พบว่า รัฐอุตตรประเทศเป็นรัฐที่เกิดเหตุอาชญากรรมกับผู้หญิงสูงที่สุดในประเทศ เกือบ 59,853 คดี ตามมาด้วยอันดับ 2 รัฐราชสถาน ที่ 41,550 คดี และอันดับ 3 คือ รัฐมหาราษฏระ ที่ 37,144 คดี จนทำให้ชื่อของรัฐอุตตรประเทศถูกขึ้นบัญชีดำว่าเป็นรัฐที่ไม่ปลอดภัยที่สุดสำหรับผู้หญิงไปแล้ว

ส่วนคดีลักพาตัวและข่มขืนผู้หญิงอายุต่ำกว่า 18 ปี รัฐอุตตรประเทศก็ครองสถิติสูงที่สุดที่ 7,444 คดี หรือมีรายงานเหตุข่มขืน 1 คดี ในทุกๆ 2 ชั่วโมง ตามมาด้วยมหาราษฏระ และรัฐมัธยประเทศ ที่ 6,402 และ 6,053 คดี ตามลำดับ

ขณะที่ รัฐมหาราษฏระ เป็นรัฐที่มีเหตุข่มขืนแล้วฆ่ามากที่สุดในประเทศที่ 47 คดี ตามมาด้วยรัฐมัธยประเทศและอุตตรประเทศ ที่ 37 และ 34 คดี ตามลำดับ ส่วนเมืองมุมไบเป็นเมืองที่มีคดีอนาจารเด็ก และล่วงละเมิดทางเพศบนรถสาธารณะสูงที่สุด

กฎหมายที่ไร้ประสิทธิภาพ


สถิติเหตุอาชญากรรมต่อผู้หญิงที่เพิ่มมากขึ้นนี้ ยิ่งสะท้อนให้เห็นความไร้ประสิทธิภาพของการบังคับใช้กฎหมายชัดเจนขึ้น เพราะเมื่อย้อนไปดูข้อมูลในปี 2560 พบว่า มีการแจ้งคดีข่มขืนถึงมากกว่า 32,559 ราย แต่ภายในสิ้นปี ศาลของอินเดียสามารถตัดสินคดีได้เพียง 18,300 คดี จนทำให้ยังมีคดีสะสมอีกกว่า 127,800 คดี ที่ยังต้องรอคอยความยุติธรรมต่อไป และเป็นที่น่าสังเกตว่าหากผู้กระทำความผิดเป็นคนมีหน้ามีตาในสังคม โอกาสที่จะถูกตัดสินโทษหนักยิ่งเป็นไปได้ยาก โดยส่วนใหญ่ผู้ต้องหาจะได้รับการประกันตัว เพราะขาดหลักฐาน และข้อกล่าวหาจะเบาลงโดยความช่วยเหลือจากตำรวจ นักการเมือง หรือแม้แต่ทนายความ

...

รากลึกของปัญหา


นักวิจัยระบุว่า ปัญหาการข่มขืนในอินเดียไม่ใช่ปัญหาที่เรื่องกฎหมายเท่านั้น แต่เกิดจากรากลึกของสังคม ด็อกเตอร์ ชรูติ กาพัว นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิสตรี ระบุว่า สังคมอินเดียยังแบ่งแยกชนชั้น และให้ความสำคัญกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ผู้หญิงจึงต้องตกเป็นชนชั้นสองเสมอ โดยเด็กๆ จะถูกปลูกฝังเรื่องนี้ตั้งแต่ยังเด็ก ว่าความต้องการของผู้หญิง หรือความคิดเห็นของเด็กผู้หญิงจะไม่ได้รับความสนใจเท่ากับของผู้ชาย ดังนั้นเด็กผู้หญิงจึงถูกเลี้ยงดูมาเพื่อเป็นคนคอยรับใช้ หรือคอยบริการผู้ชายในบ้าน

ขณะเดียวกัน ความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับเด็กสาว และผู้หญิง มักจะเกิดขึ้นจากคนรอบตัว โดยข้อมูลพบว่า 93 เปอร์เซ็นต์ของเหตุข่มขืน ล้วนแล้วแต่ถูกกระทำโดยคนที่รู้จักเหยื่อ ซึ่งมีทั้งคนในครอบครัว เพื่อน เพื่อนบ้าน นายจ้าง หรือแม้แต่เพื่อนที่รู้จักกันทางออนไลน์ ซึ่งแม้ว่าปัจจุบันนี้รัฐบาลจะเพิ่มโทษผู้ต้องหาในคดีข่มขืนไปอีกเท่าตัว กลายเป็นจำคุก 20 ปีแล้วก็ตาม แต่นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชนยังคงเรียกร้องให้กระบวนการเอาผิดตามกฎหมายทำได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะในขั้นตอนการทำงานของตำรวจ อัยการ และชั้นศาล เพราะแม้โทษจะหนักเพียงใด แต่หากเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายไม่เข้มงวด กฎหมายก็เป็นเพียงตัวหนังสือที่ไม่สามารถลงโทษผู้กระทำผิดได้จริง.

...



ผู้เขียน : อาจุมม่าโอปอล

ที่มา : อินเดียนเอ็กซเพรส, บีบีซี, เอ็นดีทีวี