อีกก้าวสำคัญของการพัฒนาเครื่องบินรบอันโด่งดังจนเป็นตำนาน วันนี้กับ 46 ปีที่ผ่านไป เอฟ-16 ไฟท์ติ้งฟอลคอน ได้มาถึง บล็อก 70/72 แล้ว ภายใต้การผสมผสานเทคโนโลยีและดีเอ็นเอของ เอฟ-22 และ เอฟ-35
- เอฟ-16 รุ่นล่าสุดที่มากับเรดาร์ AN/APG-83 (SABR) ที่ทันสมัยที่สุด
- ได้รับเทคโนโลยีถ่ายทอดมาจาก เอฟ-22 และ เอฟ 35
- เป็นเครื่องบินขับไล่ที่อัปเกรดแล้ว เทียบชั้นได้กับเครื่องบินขับไล่ยุค 4.5
ถือเป็นหนึ่งในเครื่องบินขับไล่ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด จากทศวรรษที่ 70 ที่ยังคงครองความเป็นอมตะ จนเป็นตำนานของเครื่องบินขับไล่ไอพ่นยอดนิยมที่ใครๆ ก็รู้จัก เอฟ-16 ไฟท์ติ้งฟอลคอน หรือ ชื่อเล่นที่กองทัพสหรัฐฯ เรียกว่า “ไวเปอร์” หรือ อสรพิษร้าย นับตั้งแต่เปิดตัวสู่สาธารณชนครั้งแรกกับเครื่องบิน วายเอฟ-16 รุ่นต้นแบบ เมื่อปี 1974 และเครื่องบินเอฟ-16 เอลำแรก ออกจากสายผลิตของโรงงานบริษัทเจอเนอรัล ไดนามิกส์ (ที่ต่อมาเป็นบริษัทล็อกฮีทมาร์ติน) ที่ฟอร์ทเวิร์ธ รัฐเทกซัส มาจนถึงปี 2020 กับเอฟ-16 บล็อก 70/72 ที่ย้ายบ้านเกิดมาอยู่ที กรีนสวิลล์ รัฐเซาท์แคโรไลนา ก็เป็นเวลากว่า 46 ปี แล้วที่ตำนานของเอฟ-16 ได้ร่วมในสงครามและสมรภูมิรบต่างๆ มันถูกผลิตออกมาแล้ว 4,588 ลำ (รวมคำสั่งซื้อกว่า 4,700 ลำ) มีใช้ในกองทัพสหรัฐอเมริกา และอีก 30 ชาติทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย
...
การอัปเกรดแบบจัดเต็มตามชุดโมดิฟายด์ของ เอฟ-16V
เครื่องบินขับไล่ เอฟ-16 มีการพัฒนามาเป็นลำดับ ตั้งแต่ เอฟ-16 เอ/บี และ เอฟ-16 ซี/ดี รุ่นพิเศษ เอฟ-16 อี/เอฟ ของ กองทัพอากาศยูเออี จนถึงรุ่นล่าสุด คือ เอฟ-16V ที่เป็นโครงการอัปเกรด เอฟ-16 เอ/บี ที่มีใช้งานในหลายชาติ นำมาปรับปรุงเป็น เอฟ-16V ที่ติดตั้งระบบเอวิโอนิกส์ที่ทันสมัยที่สุด ไม่ว่าจะเป็นห้องนักบิน ที่มากับจอภาพแบบ Center Pedestal Display คอมพิวเตอร์ควบคุมการบินรุ่นใหม่ พร้อมระบบอีเธอร์เน็ตที่มีบัสสูงเพื่อรองรับการรับ-ส่งข้อมูล ระบบหลีกเลี่ยงการชนพื้นดินอัตโนมัติ หรือ Automatic Ground Collision Avoidance GCS
ที่สำคัญจุดขายสำคัญ คือ เรดาร์รุ่นใหม่แบบ นอร์ทรอปกรัมแมน AN/APG-83 Scalable Agile Beam Radar (SABR) ที่ใช้เทคโนโลยี เฟส อาร์เรย์ แบบ AESA (Active Electronically Scanned Array) สามารถตรวจจับข้าศึกได้ไกลกว่าเดิม อีกทั้งยังล็อกเป้าหมายและติดตามได้มากกว่าเรดาร์แบบก่อนหน้า ค่าบำรุงรักษาต่ำ เชื่อถือได้ เพราะเป็นการนำเอาข้อดีของระบบเรดาร์ของเครื่องบินเอฟ-22 แร็พเตอร์ และ เอฟ-35 ไลท์นิ่ง ทู มารวมกัน ทำให้สามารถรองรับหลายภารกิจการต่อสู้อากาศ-สู่-อากาศ ดีกว่าเดิม ที่มีความยืดหยุ่นได้ตามสภาพแวดล้อม อันจะช่วยรับมือกับภัยคุกคามใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น การอัปเกรดเป็น เอฟ-16 วี จะทำให้ช่วยนักบินตระหนักถึงสถานการณ์ของการรบโดยรอบได้ อีกทั้งยังทำให้เอฟ-16 ปฏิบัติการได้ยืดหยุ่น หลากหลายภารกิจ รวมทั้งการทำภารกิจ การโจมตีกดดันระบบป้องกันภัยทางอากาศ (SEAD) ทำให้เอฟ-16 ที่ผลิตมาตั้งแต่รุ่นพ่อกลับมาไฮเทคจนเทียบชั้นเครื่องบินขับไล่ยุค 4.5 ของชาติอื่นๆ ได้
แต่แล้วแรงสเปกเร้าใจ ลูกค้าสนใจขออัปเกรดกันเพียบ
ลูกค้าหลักที่เลือกอัปเกรดเอฟ-16 เอ/บี เป็น เอฟ-16V รายใหญ่ คือ กองทัพอากาศไต้หวันนั่นเองโดยนำ เอฟ-16 เอ/บี บล็อก20 ที่มีประจำการมาปรับปรุงใหม่ 145 ลำ เป็นชาติแรก เมื่อไต้หวันประเดิมเปิดบิลแล้ว ทำให้ชาติอื่นๆ ที่มีเอฟ-16 ใช้งานจึงพิจารณาอัปเกรดตาม ได้แก่ ทอ.เกาหลีใต้ เลือกอัปเกรด เอฟ-16 ที่มี 134 ลำ เป็นเอฟ-16V ทอ.สิงคโปร์ ที่เลือกอัปเกรดเอฟ-16 ซี/ดี บล็อก 52 ที่ใช้อยู่ เป็นเอฟ-16 ซี 40 ลำ เอฟ-16D อีก 20 ลำเป็น เอฟ-16V และกองทัพอากาศกรีซ ที่เลือกอัปเกรด เอฟ-16 ซี/ดี จำนวน 84 ลำ เป็น เอฟ-16V ทั้งนี้รวมแล้วมีเอฟ-16 เข้าอัปเกรดอยู่กว่า 400 ลำ โดยทั้ง 4 ชาติอยู่ระหว่างดำเนินการ
จากชุดอัปเกรด เอฟ-16V ที่ขายดีมาสู่ บล็อกใหม่ เอฟ-16 บล็อก 70/72
ความสำเร็จของการนำเสนอชุดอัปเกรด เอฟ-16V ต่อกองทัพอากาศหลายๆ ชาติ จึงนำมาสู่การพัฒนา เอฟ-16 รุ่นใหม่ นั่นคือ เอฟ-16 บล็อก 70/72 ที่จะเป็นเอฟ-16 รุ่นแรกที่ผลิตขึ้นในโรงงานที่กรีนสวิลล์ โดยในรุ่นใหม่นี้มีการปรับปรุงโครงสร้างเอฟ-16 บล็อก 60 รุ่นก่อนหน้า ให้มีอายุการใช้งานมากกว่าเดิมเป็น 12,000 ชั่วโมง พร้อมทั้งปรับปรุงเครื่องยนต์ใหม่ที่มีประสิทธิภาพสง โดยที่ รุ่นบล็อก 70 ใช้เครื่องยนต์ เจอเนอรัล อีเล็กทริก รุ่น F110-GE-129 ส่วนบล็อก 72 ใช้เครื่องยนต์ แพรตแอนด์วิทนีย์ รุ่น F100-PW-229 และมีถังเชื้อเพลิงภายนอกติดอยู่ข้างลำตัว เพื่อเพิ่มพิสัยในการปฏิบัติการ
...
ส่วนระบบอิเล็กทรอนิกส์ของ เอฟ-16 บล็อก 70/72 จะคล้ายกับ เอฟ-16V อาทิ ห้องนักบิน ที่มากับจอภาพแบบ Center Pedestal Display คอมพิวเตอร์ควบคุมการบินรุ่นใหม่ พร้อมระบบอีเธอร์เน็ตที่มีบัสสูงเพื่อรองรับการรับ-ส่งข้อมูล ระบบหลีกเลี่ยงการชนพื้นดินอัตโนมัติ หรือ Automatic Ground Collision Avoidance GCS รองรับระบบอาวุธรุ่นใหม่ๆ ติดตั้งกระเปาะชี้เป้า และติดตามเป้าหมายด้วยอินฟราเรด (IRST) ระบบจีพีเอสนำทาง ระบบออโต้ไพลอตที่มากับระบบนิรภัย พร้อมระบบหลีกเลี่ยงการชนพื้นดินอัตโนมัติ และชุดสงครามอิเล็กทรอนิกส์ป้องกันตัวเองจากอาวุธปล่อยนำวิถี หรือ electronic warfare system (Viper Shield)
ระบบเรดาร์ของ เอฟ-16 บล็อก 70/72 เป็นแบบ AESA รุ่น นอร์ทรอปกรัมแมน AN/APG-83 Scalable Agile Beam Radar (SABR) ช่วยนักบินตระหนักถึงสถานการณ์ของการรบโดยรอบได้ อีกทั้งยังทำให้เอฟ-16 ปฏิบัติการได้ยืดหยุ่น หลากหลายภารกิจในทุกสภาพอากาศ ด้วยการมีเรดาร์ที่ไฮเทคเทียบชั้นเครื่องบินขับไล่ยุคที่ 5 อย่างเอฟ-22 แร็พเตอร์ และ เอฟ-35 ไลท์นิ่ง ทู และระบบเรดาร์แจ้งเตือนภัยแบบ Digital Radar Warning Receiver (DRWR) ที่ออกแบบอินเทอร์เฟซให้ทำงานร่วมกับ AN/APG-83 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งหมดนี้จะทำให้ เอฟ-16 บล็อก 70/72 สามารถปฏิบัติการอยู่ได้นานถึงปี 2060
...
ไฮเทคโดนใจ หลายประเทศขอจับจอง เอฟ-16 บล็อก 70/72
กองทัพอากาศบาห์เรน สั่งซื้อ เอฟ-16 บล็อก 70/72 ใหม่จำนวน 16 ลำ นอกเหนือจากการอัปเกรดเครื่องบินเก่า กองทัพอากาศสโลวะเกีย สั่งซื้อ เอฟ-16 บล็อก 70/72 ใหม่จากสหรัฐฯ 14 ลำเพื่อทดแทนเครื่องมิก-29 และนับเป็นการซื้ออาวุธครั้งใหญ่สุดในประวัติศาสตร์ของสโลวะเกียเลยทีเดียว ขณะที่ กองทัพอากาศบัลแกเรียก็จัดซื้อ เอฟ-16 บล็อก 70/72 จำนวน 8 ลำ เพื่อนำมาทดแทน มิก-29 ที่เก่าและล้าสมัย ล่าสุด คือ กองทัพอากาศไต้หวัน ที่มีการจัดหา เอฟ-16 บล็อก 70/72 ใหม่จากล็อกฮีดมาร์ติน 66 ลำ เพื่อนำมาทดแทนเครื่องบิน เอฟ-5 อี/เอฟ และมิราจ 2000-5 ที่ใช้งานมานาน
โอกาสของ ล็อกฮีดมาร์ตินในการหาลูกค้าให้ เอฟ-16 บล็อก 70/72
นายเจอาร์ แมคโดนัลด์ รองประธานฝ่ายพัฒนาธุรกิจ กลุ่ม เครื่องบินขับไล่ ของล็อกฮีดมาร์ติน ให้สัมภาษณ์ตอนหนึ่งไว้กับ Flight Global ว่า ในฐานะผู้ผลิตเชื่อว่าตอนนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมอย่างยิ่งในการนำเสนอ F-16 เนื่องจากอดีตสมาชิกสหภาพโซเวียตหลายประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่ยังคงบินด้วยเครื่องบินรบ ของมิกโกยัน MiG-21 และ MiG-23 หรือ UAC MiG-29 ต่างใช้ที่มีอายุมาก และเครื่องบินเหล่านี้กำลังสิ้นสุดอายุการใช้งาน ทำให้ประเทศต่างๆ ทั่วโลกกำลังต้องพบว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์ที่จำเป็นต้องเปลี่ยนทดแทน
...
รองประธานฝ่ายพัฒนาธุรกิจ กลุ่ม เครื่องบินขับไล่ ของล็อกฮีดมาร์ติน กล่าวต่อว่า มีเครื่องบินขับไล่ มิก-21 ฟิชเบด ที่สร้างมาในทศวรรษที่ 60 จำนวน 348 เครื่อง ที่ยังคงประจำการอยู่รวมถึงสมาชิก NATO บางชาติที่เข้ามาใหม่ อย่างโครเอเชียและโรมาเนีย และยังมี มิก-23 ฟล็อกเกอร์ ที่เปิดตัวและสร้างในทศวรรษที่ 70 จำนวน 214 เครื่องที่ยังคงให้บริการอยู่ในกองทัพอากาศของประเทศในแอฟริกา เช่นแองโกลา และเอธิโอเปีย
นายแมคโดนัลด์ กล่าวว่า สำหรับบางประเทศ เอฟ-16 สามารถทำหน้าที่เป็นก้าวสำคัญของการไปถึงเครื่องบินขับไล่ล่องหนอย่าง เอฟ-35 ที่เพนตากอนควบคุมการขายออกต่างประเทศอย่างเข้มงวด และอนุญาตให้เฉพาะพันธมิตรของสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรที่เชื่อถือได้มากที่สุดเท่านั้น ไม่ใช่ทุกประเทศในโลกที่พร้อมสำหรับ เอฟ-35 ในวันนี้ และนั่นอาจเป็นเพราะพวกเขาจากมุมมองด้านนโยบายทางการเมือง ยังไม่ได้เป็นพันธมิตรในระดับนั้นกับสหรัฐฯ หรืออาจจะเป็นแค่นโยบายทางทหารทหารของพวกเขา ที่มันยากที่จะข้ามจาก มิก-21 ไปสู่ เอฟ-35 โดยตรง และ เอฟ-16 เป็นเส้นทางสู่ เอฟ-35 ที่สมบูรณ์แบบ เพราะคุณได้รับความคุ้นเคยกับเครื่องบินของสหรัฐอเมริกา แล้วเมื่อกลายเป็นพันธมิตรที่เชื่อถือได้สำหรับสหรัฐอเมริกาแล้วขั้นตอนต่อไปในการจะมี เอฟ-35 ไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาดึงเช็งให้ยืดเยื้ออีกแล้ว
ทั้งนี้ เชื่อได้ว่า เอฟ-16 บล็อก 70/72 และ เอฟ-16V จะเป็นเครื่องบินขับไล่มาตรฐานที่อยู่คู่กับกองทัพอากาศหลายๆ ชาติไปอีกหลายปี ด้วยการอัปเกรดที่ทันสมัย ค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา ค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติการไม่สูง รองรับอาวุธยุคใหม่ๆ ได้หลากหลาย ไม่แน่ว่าเราอาจจะได้อยู่ฉลองแซยิดให้กับ เอฟ-16 ในฐานะยอดเครื่องบินขับไล่ที่ยอดเยี่ยมข้ามกาลเวลาและยุคสมัยก็เป็นได้.
ผู้เขียน : จุลดิส รัตนคำแปง
ที่มา : flightglobal
: thedrive